Social Media

ยาฮู  เฟซบุ๊ค wordpress RSS มายสเปซ ยูทูป Tumblr กูเกิล+ Flickr Reddit Twitter Retail Academy

หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เซ็นทรัลพลาซา ศาลายา



ศูนย์การค้า Theme Mall ที่มีสวนโบทานิคพร้อมพรรณไม้นานาพันธุ์ภายใต้แนวคิด “Contemporary Botanical” มูลค่ากว่า 3,700 ล้าน บนทำเลศักยภาพสูงแห่งอนาคตของกรุงเทพฯ และปริมณฑลฝั่งตะวันตก กำหนดเปิดประมาณไตรมาสที่ 3 ของปี 2557

ที่ตั้ง:บนถนนบรมราชชนนี ขนาด 10 เลน บริเวณศาลายา ระหว่างถนนพุทธมณฑลสาย 5 และ 7 ทำเลศักยภาพสูงแห่งอนาคตของกรุงเทพฯ และปริมณฑลฝั่งตะวันตก

พื้นที่โครงการ : ที่ดินรวมประมาณ 70 ไร่

พื้นที่โครงการ (GFA): 180,000 ตร.ม.

กำหนดเปิด : ประมาณไตรมาสที่ 3 ปี 2557

มูลค่าโครงการ : ประมาณ 3,700 ล้านบาท

โครงการจะตอบสนองต่อชุมชนธุรกิจและผู้อยู่อาศัย : • ศูนย์กลางที่อยู่อาศัยที่มีความหนาแน่นสูงในปัจจุบัน ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีรายได้ระดับกลางถึงสูง มีโครงการบ้านจัดสรรระดับกลางถึงสูง กว่า 100 โครงการ ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายหลักและกลุ่มเป้าหมายรองกว่า 700,000 ครัวเรือนในปัจจุบัน ครอบคลุมอาณาเขตของกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกและปริมณฑล โดยเฉพาะฝั่ง พุทธมณฑล นครชัยศรี สามพราน จนถึงเมืองนครปฐม และมีแนวโน้มว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคต 
• เป็นศูนย์กลางการศึกษา แหล่งรวมคนรุ่นใหม่ ที่มีกำลังซื้อสูง มีสถาบันการศึกษา ทั้งมหาวิทยาลัย และโรงเรียนชั้นนำ ที่มีนักศึกษารวมกว่า 250,000 คน 
• โรงแรมชั้นนำรองรับนักท่องเที่ยว อาทิ สวนสามพรานโรสการ์เด้นริเวอร์ไซค์, เดอะรอยัลเจมส์กอล์ฟ รีสอร์ท, สุวรรณกอล์ฟแอนด์คันทรีคลับ 
• สถานที่ราชการสำคัญ 
• การขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคตจากแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจใหม่ ฝั่งกรุงเทพฯ ตะวันตก

กลุ่มเป้าหมายหลัก : ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย บริเวณฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ และจังหวัดนครปฐม พื้นที่รัศมีการเดินทางในระยะ 30 นาที

รูปแบบสถาปัตยกรรม : • โดดเด่นภายใต้แนวคิด “Contemporary Botanical” นำบรรยากาศ Outdoor เข้าไปไว้ในศูนย์การค้า 
• ประดับด้วยพรรณไม้นานาชนิด ทั้งแนวราบและแนวดิ่ง ทั่วทั้งศูนย์การค้า 
• ยังนำเอกลักษณ์ของศาลายาและนครปฐมมาเป็นองค์ประกอบหลักในการออกแบบและตกแต่งศูนย์การค้า ทำเป็นจุด Photo Landmark ให้คนมาถ่ายรูป ทั้ง บ้านริมคลอง รวมถึงเส้นสายการออกแบบที่แรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมอันงดงามของพระราชวังสนามจันทร์ และโบราณสถานที่มีชื่อเสียงของท้องถิ่น

ความครบครันทันสมัยตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ : • พันธมิตรหลักห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เป็น Magnet หลักในการดึงดูดลูกค้า นอกจากนี้ ยังมี Anchor สำคัญ อย่าง Tops MarketมPowerBuy, SuperSports, B2S และ OfficeMate 
• รวมร้านค้าแบรนด์ชั้นนำทั้งไทยและอินเตอร์กว่า 250 ร้านค้า : Fashion Brand ระดับโลก Dining Destination แห่งใหม่ที่รวมร้านอาหารคอนเซ็ปต์ใหม่ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ 
• เพียบพร้อมด้วย เอนเตอร์เทนเมนต์ สวนสนุก โรงภาพยนตร์ ที่ทันสมัย





ที่มา : CPN

เซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย



เซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย เป็นต้นแบบ Theme Mall แห่งแรกของซีพีเอ็น เพื่อให้ที่นี่เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของสมุย ที่มีความโดดเด่นด้านดีไซน์การออกแบบระดับโลกในรูปแบบ “Reminiscence of Southern Lifestyle” ซึ่งให้ประสบการณ์สัมผัสของการ ช้อปปิ้งแบบใหม่ในช่วงเวลาของการพักผ่อนในแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก อีกทั้งยังเป็นการผลักดันไทยเป็น Tourism Capital of Asia และสร้างเกาะสมุยให้เป็น Beach Destination ระดับโลก

ที่ตั้ง :ตั้งอยู่บนทำเลดีที่สุดบนหาดเฉวง ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมและเป็นย่านเศรษฐกิจหลักของสมุย ที่มีโรงแรมชั้นนำอยู่รายรอบ เดินทางสะดวกด้วยทางเข้า-ออกโครงการถึง 3 ทาง ที่ตั้งโครงการห่างจากสนามบิน เพียง 5 นาที และ 20 นาทีจากท่าเรือ

พื้นที่โครงการ : ที่ดินรวมประมาณ 37 ไร่ โดยมีพื้นที่โครงการรวมทั้งสิ้น 90,000 ตารางเมตร

กำหนดการเปิดให้บริการ : ไตรมาส1 ปี 2557

เงินลงทุน : ประมาณ 3,450 ล้านบาท

โครงการจะตอบสนองต่อชุมชนธุรกิจและผู้อยู่อาศัย : เซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย จะเป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิต และเป็นศูนย์กลางในการจัดกิจกรรมระดับประเทศ เพื่อเป็นการสนับสนุนส่งเสริมการท่องเที่ยว ดึงนักท่องเที่ยวมาที่เกาะสมุยอย่างต่อเนื่อง

กลุ่มเป้าหมายหลัก :
• กลุ่มเป้าหมายเป็นนักท่องเที่ยวระดับไฮ-เอนด์ที่มีกำลังซื้อสูง เนื่องจากปัจจุบันบนเกาะสมุย มีโรงแรมที่พักกว่า 500 แห่ง ประมาณ 19,500 ห้อง ซึ่งมากกว่าครึ่งเป็นโรงแรม 4-5 ดาว 
• ชาวไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่บนเกาะสมุย

รูปแบบสถาปัตยกรรม :  บรรยากาศการช้อปปิ้งในสไตล์รีสอร์ทในรูปแบบ “Reminiscence of Southern Lifestyle” 
ด้วยธีมการตกแต่งหลัก  4 ธีม คือ 
• ธีมท่าเรือเฉวง (Chaweng Port) ที่เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบคอนเทมโพรารีที่แทรกเสน่ห์ของท่าเรือเก่าเข้าไปอย่างลงตัว  
• ธีมกรงนก (Birdcages) ที่มีกลิ่นอาย ชิโน-โปรตุกีส 
• ธีมหมู่บ้านชาวประมง o ธีมตลาดเก่า ในสไตล์โคโลเนียล 

ความครบครันทันสมัยตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ :  • พันธมิตรหลักห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เป็น Magnet หลักในการดึงดูดลูกค้า นอกจากนี้ ยังมี Anchor สำคัญ อย่าง Tops Market, PowerBuy, SuperSports, และ B2S 
• รวมร้านค้าแบรนด์ชั้นนำทั้งไทยและอินเตอร์กว่า 200 ร้านค้า : Fashion Brand ระดับโลก Dining Destination แห่งใหม่ที่รวมร้านอาหารคอนเซ็ปต์ใหม่ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ 
• Night Bazaar รองรับนักท่องเที่ยว 
• พร้อมด้วยเอนเตอร์เทนเมนต์ โรงภาพยนตร์ที่ทันสมัย








ที่มา : CPN

เซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่




ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟรสติวัล หาดใหญ่ มิติใหม่แห่งช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์ใจกลางแหล่งท่องเที่ยว ที่รวมความทันสมัยและความสะดวกครบครันไว้ในที่แห่งเดียว โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมการออกแบบที่ทันสมัยและงดงาม ด้วยแรงบันดาลใจจากรูปทรงของคริสตัลและการหักเหแสงของปริซึมผสมผสานกับรูปแบบกราฟฟิกสุดโมเดิร์น เปิดประสบการณ์ใหม่ของการช้อปปิ้งอย่างครบครัน ทั้งความสนุกสนานและความบันเทิงอันหลากหลายที่สะท้อนความสุขของนักท่องเที่ยว และชาวหาดใหญ่อย่างสมบูรณ์แบบ

ที่ตั้ง :บริเวณสี่แยกถนนกาญจนวาณิช  เทศบาลเมืองหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา (ภาคใต้ของประเทศไทย)

ขนาดโครงการ : ที่ดินรวมประมาณ 50 ไร่ โดยมีพื้นที่โครงการรวมทั้งสิ้น 250,000 ตารางเมตร ซึ่งประกอบด้วยห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและร้านค้าชั้นนำกว่า 250 ร้านค้า และมี พื้นที่จอดรถรองรับกว่า 1,500 คัน

กำหนดการเปิดให้บริการ : ตุลาคม 2556

เงินลงทุน : ประมาณ 6,000 ล้านบาท












ที่มา : CPN


เซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่



โครงการตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพ แวดล้อม ด้วยกลุ่มธุรกิจการค้าและการลงทุนบนถนนซูเปอร์ไฮเวย์ ซึ่งมีการคมนาคมที่สะดวกสบายเชื่อมต่อกับหลายจังหวัดในภาคเหนือ นอกจากนี้จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงยังเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวซึ่งเป็นที่นิยมของชาวไทยและต่างชาติ ที่ช่วยเสริมศักยภาพการเติบโต ในด้านกำลังซื้อเป็นอย่างมาก


ที่ตั้ง :บริเวณสี่แยกถนนซูเปอร์ไฮเวย์ตัดกับถนนเชียงใหม่-ดอยสะเก็ด ตำบลฟ้าฮ่าม อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ (ภาคเหนือของประเทศไทย)

ขนาดโครงการ : ที่ดินรวมประมาณ 70 ไร่ (CPN เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน) โดยมีพื้นที่โครงการรวมทั้งสิ้น 250,000 ตารางเมตร ซึ่งประกอบด้วยห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและร้านค้าชั้นนำกว่า 250 ร้านค้า และมี พื้นที่จอดรถรองรับกว่า 2,000 คัน

กำหนดการเปิดให้บริการ : คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการได้ใน 14  November ปี 2556

เงินลงทุน : ประมาณ 5,000 ล้านบาท (ไม่รวมเงินลงทุนในการก่อสร้างห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ซึ่งบริษัทห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการก่อสร้าง)






ที่มา : KPN



CPN New Project










CPN ได้ตั้งเป้าหมายทางธุรกิจในระยะ 5 ปี ที่จะมีรายได้เติบโตในอัตราเฉลี่ย (CAGR) 15% ต่อปี เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว CPN ได้กำหนดแนวทางในการขยายธุรกิจ ประกอบไปด้วย การปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อเพิ่มมูลค่า การปรับขึ้นค่าเช่าตามปกติ การประหยัดต้นทุนและค่าใช้จ่าย และการพัฒนาโครงการใหม่ ซึ่งได้กำหนดเป้าหมายในการขยายพื้นที่ค้าปลีกให้มีการเติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี ภายใต้ความเจริญทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวสู่ทั้งพื้นที่ในและรอบนอกกรุงเทพฯ รวมถึงในต่างประเทศด้วย


การขยายธุรกิจในประเทศ
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง 6 โครงการใหม่ ได้แก่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ศาลายา ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ระยองและศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวสต์เกต

การขยายธุรกิจต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2556 บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับ I-City Properties Sdn. Bhd. (“ICP”) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ I-Berhad โดยบริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 60 ผ่านบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นในประเทศมาเลเซียและ ICP ถือหุ้นร้อยละ 40 บริษัทร่วมทุนดังกล่าวจะพัฒนาศูนย์การค้ามูลค่าการลงทุนประมาณ 580 ล้านริงกิตหรือประมาณ 5,800 ล้านบาท ในโครงการ i-City เมืองชาห์อลัม รัฐสลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย

โครงการร่วมทุนเพื่อพัฒนาศูนย์การค้านี้อยู่บริเวณฝั่งตะวันตกของรัฐ สลังงอร์ โดยบริษัทฯ เป็นผู้ควบคุมการออกแบบ พัฒนา และบริหารศูนย์การค้าดังกล่าวบนที่ดินกรรมสิทธิ์ขนาด 11.12 เอเคอร์ ประกอบด้วยพื้นที่ใช้สอยประมาณ 138,000 ตารางเมตร และพื้นที่ขายประมาณ 89,700 ตารางเมตร โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างภายในปี 2557 และจะเปิดให้บริการภายในปี 2559

สำหรับเงินลงทุนในโครงการจำนวนรวมประมาณ 5,800 ล้านบาท โดยบริษัทจะใช้เงินทุนหมุนเวียนจากการดำเนินการ และ/หรือเงินกู้ยืมจากธนาคาร และ/หรือการออกหุ้นกู้ และ/หรือการออกและเสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์




ที่มา : CPN

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การแข่งขันในธุรกิจร้านสะดวกซื้อ




ร้านค้าปลีกสะดวกซื้อ (Convenience Store) ยังคงเป็นรูปแบบร้านค้าปลีกสมัยใหม่ไซส์เล็กที่ผู้ประกอบการต่างให้ความสนใจและรุกขยายสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้จากปัจจุบัน มีผู้ประกอบการรายใหม่ หรือผู้ประกอบการค้าปลีกในรูปแบบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ซัพพลายเออร์สินค้าอุปโภคบริโภคก็หันมารุกขยายตลาดค้าปลีกขนาดเล็กกันมากขึ้น โดยเฉพาะการรุกขยายสาขาไปยังต่างจังหวัด ซึ่งสอดคล้องไปกับการขยายตัวของความเป็นเมืองที่มุ่งออกสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น (Urbanization) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อพฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ทั้งนี้ คาดว่า ในปี 2556 มูลค่าตลาดร้านค้าปลีกสะดวกซื้อจะขยายตัวอยู่ที่ประมาณร้อยละ 15-20 (YoY) และจัดเป็นร้านค้าปลีกที่ยังคงมีการเติบโตอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับค้าปลีกรูปแบบอื่นๆ


เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านกฎหมายผังเมืองโดยเฉพาะการกำหนดโซนนิ่งในการขยายสาขาขนาดใหญ่ในรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต ในปี 2555 ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ Multi Format โดยการพัฒนารูปแบบโครงการที่หลากหลายทั้งที่เป็น ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว รูปแบบผสมผสานระหว่างห้างค้าปลีกและศูนย์การค้าขนาดย่อม และ รูปแบบร้านค้าขนาดเล็กในลักษณะใกล้เคียงกับร้านสะดวกซื้อ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการรุกเข้าสู่ตลาด ในส่วนของกลยุทธ์เพื่อเพิ่มยอดขาย ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำตลาด จากที่เคยมุ่งเน้นแค่เรื่องราคาถูก โปรโมชั่นลดแลกแจกแถม และการจัดการตัวสินค้า เป็นการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้ใช้บริการโดยใช้โปรแกรมลูกค้าสัมพันธ์ผ่านบัตรสมาชิกและบัตรเครดิตของห้าง มีการแบ่งแยกกลุ่มของผู้ใช้บริการอย่างชัดเจน ทั้งกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับเรื่องราคา กลุ่มที่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม และกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการบริการ เพื่อที่จะบริหารลูกค้าที่มีความต้องการแตกต่างกันอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ยังมุ่งสร้างความมั่นใจในเรื่องคุณภาพ พร้อมทั้งการการันตีความพอใจ โดยการสื่อสารกับผู้บริโภคผ่านทางสื่อหลัก ทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และ Direct Mail เพื่อประชาสัมพันธ์โปรโมชั่นที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วจาการทำ Benchmark Campaign อย่างเข้มข้น 

นอกเหนือจากกลยุทธ์ดังกล่าว ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ยังเริ่มรุกสู่ตลาดในระดับบนกว่ากลุ่มผู้ใช้บริการห้างค้าปลีกขนาดใหญ่โดยการเปิดร้านค้าปลีกในรูปแบบ “เอ็กซ์ตร้า” ซึ่งมีการปรับปรุงทั้งในด้านภาพลักษณ์ คุณภาพของสินค้า และการให้บริการ เพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้บริการกลุ่มดังกล่าวที่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพระดับพรีเมี่ยม
  โดยภาพรวม ผู้ประกอบการกลุ่มห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ (Hypermarket) และร้านค้าปลีกซูเปอร์มาร์เก็ต ได้มุ่งเน้นการพัฒนาร้านค้าในขนาดเล็กลงในรูปแบบร้านสะดวกซื้อกึ่งซูเปอร์มาร์เก็ต หรือที่เรียกว่า ซูเปอร์คอนวีเนียนสโตร์ (Super Convenient Store) และร้านสะดวกซื้อ (Convenient Store) เช่น โลตัส เอ็กซ์เพรส (Lotus Express) มินิ บิ๊กซี (Mini BigC)  ท็อปส์ เดลี่ (Tops Daily) ซีพี ฟู้ด มาร์เก็ต (CP Food Market) และแม็กซ์แวลู (Max Value) โดยมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองหลักต่างๆ  เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคในย่านที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า และในชุมชนที่เกิดใหม่ ภายในปีที่ผ่านมา 

         ประกอบกับ ร้านค้าปลีกสะดวกซื้อ (Convenience Store) เดิม อย่าง เซเว่น อีเลฟเว่น(7-Eleven)
 ก็ปรับขนาดให้ใหญ่ขึ้น โดยเพิ่มไลน์เบเกอรี่ กาแฟสด เข้าไป รวมถึงแบรนด์รองอย่าง แฟมิลี่ มาร์ท (Family Mart ) ที่กลุ่มเซ็นทรัลได้เข้ามาซื้อหุ้นก็คงจะมีการปรับกลยุทธอย่างแน่นอน ส่วน 108 Shop ของกลุ่มสหพัฒน์ ก็ซื้อแบรนด์ Lawson แบรนด์ร้านสะดวกซื้ออันดับสองจากญี่ปุ่น โดยปรับร้าน 108 Shop เดิม เป็น ลอว์สัน 108 (Lawson 108 ) ทำให้ตลาดร้านสะดวกซื้อนั้นคึกคักขึ้นมาทันที

 แนวโน้มธุรกิจในอนาคตคาดว่าผู้ประกอบการกลุ่มนี้จะเริ่มเจาะตลาดหัวเมืองรองในต่างจังหวัดและมีการขยายสินค้าในกลุ่มอาหารมากขึ้น 


การตลาดและภาวะการแข่งขันของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ


ในปี 2555 ที่ผ่านมา มีหลากหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เริ่มตั้งแต่ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงจากวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปและสถานการณ์ทางการเงินในประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าและการผลิตของอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกหดตัวลง อย่างไรก็ดี การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนเพื่อเร่งฟื้นฟูความเสียหายในช่วงครึ่งแรกของปีเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยสนับสนุนให้อุปสงค์ภายในประเทศเติบโตดีขึ้น ทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถกลับสู่แนวโน้มปกติได้ในช่วงครึ่งหลังของปี รวมถึงสามารถรองรับความเสี่ยงและชดเชยผลกระทบจากภาคการส่งออกที่อ่อนแอลงได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนหลายด้านที่มีส่วนช่วยในการเพิ่มสภาพคล่องและกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศได้มากขึ้น อาทิ นโยบายของรัฐบาล ทั้งในส่วนของมาตรการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ มาตรการเพิ่มค่าตอบแทนข้าราชการ โครงการรับจํานําสินค่าเกษตร มาตรการภาษีสำหรับรถยนต์คันแรกและบ้านหลังแรก เป็นต้น

จากปัจจัยต่างๆ ที่ได้กล่าวมาในข้างต้น ล้วนสนับสนุนต่อการขยายตัวของภาคค้าปลีกในปี 2555 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประมาณการว่า ภาคค้าปลีกในปี 2555 มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณร้อยละ 7-8 และในปี 2556 คาดว่าตลาดค้าปลีกจะมีแนวโน้มการขยายตัวใกล้เคียงกับปี 2555 คือ ขยายตัวอยู่ที่ประมาณร้อยละ 6-8 โดยส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากการเตรียมความพร้อมเข้าสู่การเป็นสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เริ่มมีการร่วมทุนระหว่างผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศ และการร่วมทุนระหว่างผู้ประกอบการไทยด้วยกันเอง ในการขยายสาขาร้านค้าปลีกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะนำมาซึ่งการปรับปรุงและพัฒนากระบวนการดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางการแข่งขันภายในอุตสาหกรรม

นอกจากการร่วมทุนของผู้ค้าปลีกแล้ว ภายหลังการฟื้นฟูความเสียหายและชดเชยผลกระทบจากน้ำท่วม  ผู้ประกอบการค้าปลีกยังมีแผนลงทุนสร้างศูนย์กระจายสินค้าเพิ่มเติมเพื่อกระจายความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากประสบปัญหาน้ำท่วม การลงทุนเพื่อปรับปรุง พัฒนา และสร้างความทันสมัยให้กับสาขาเดิม รวมถึงการพัฒนารูปแบบร้านค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ส่งเสริมและกระตุ้นการขายในรูปแบบต่างๆ เพื่อดึงดูดผู้บริโภคและรักษาส่วนแบ่งตลาดเอาไว้ให้ได้มากที่สุด เช่น การสร้างความผูกพันและการซื้ออย่างต่อเนื่องผ่านบัตรสมาชิก การพัฒนาช่องทางการติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) และแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ (Mobile Application) เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริโภคในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร สินค้า และบริการ ผ่านช่องทางและเครื่องมือสมัยใหม่ที่สามารถตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่เริ่มขยายสู่วงกว้างมากขึ้น 

อย่างไรก็ตามร้านค้าปลีกสมัยใหม่ขนาดเล็กยังคงเป็นรูปแบบที่น่าจับตามอง เนื่องจากสามารถเข้าถึงชุมชนและลูกค้าได้ง่าย รวดเร็ว สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ได้แก่ หน่วยการบริโภคต่อครัวเรือนมีขนาดเล็กลงตามขนาดของครัวเรือนทั้งจากการที่ประชากรอาศัยอยู่คนเดียว และคู่สมรสที่ไม่มีบุตรเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคไม่สามารถซื้อสินค้าเก็บไว้ทีละมากๆ เนื่องจากอยู่อาศัยภายใต้พื้นที่จำกัด เช่น อาคารพาณิชย์ และคอนโดมิเนียม รวมถึงวิถีชีวิตที่มีความเป็นเมืองมากขึ้น เป็นผลให้พฤติกรรมการใช้ชีวิต และความต้องการของผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายและความรวดเร็ว ร้านค้าปลีกขนาดเล็กใกล้บ้านจึงเป็นทางเลือกที่สำคัญ โดยอาจมีการผสมผสานรูปแบบร้านค้ามาตรฐาน และปรับรูปแบบให้สอดคล้องความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น เช่น ร้านสะดวกซื้อกึ่ง
ซุปเปอร์มาร์เก็ต (Super-Convenience Store) ซึ่งเป็นร้านค้าขนาดเล็กที่ขายสินค้าในลักษณะเดียวกับร้าน
ซุปเปอร์มาร์เก็ต เน้นการจําหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าประเภทอาหารสด สำหรับร้าน 7-Eleven ยังคงมุ่งสู่การเป็นร้านอิ่มสะดวก (Convenience Food Store) โดยเน้นสินค้าอาหารพร้อมทานและสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในการดำรงชีวิต

ในปี 2555 มีจำนวนร้านค้าปลีกประเภทร้านสะดวกซื้อในลักษณะกลุ่มของร้านย่อยที่อยู่ภายใต้บริษัทเดียวกัน (Chain Store) เพิ่มขึ้น 967 สาขา ซึ่งในจำนวนนี้มาจากการขยายสาขาของร้าน 7-Eleven ถึง 546 สาขา แต่เนื่องจากผู้ประกอบการบางรายหยุดการดำเนินกิจการ ทำให้จำนวนร้านค้าปลีกโดยรวมลดลง 

ที่มา : 7-Eleven