ในปี 2555 ที่ผ่านมา มีหลากหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เริ่มตั้งแต่ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงจากวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปและสถานการณ์ทางการเงินในประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าและการผลิตของอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกหดตัวลง อย่างไรก็ดี การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนเพื่อเร่งฟื้นฟูความเสียหายในช่วงครึ่งแรกของปีเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยสนับสนุนให้อุปสงค์ภายในประเทศเติบโตดีขึ้น ทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถกลับสู่แนวโน้มปกติได้ในช่วงครึ่งหลังของปี รวมถึงสามารถรองรับความเสี่ยงและชดเชยผลกระทบจากภาคการส่งออกที่อ่อนแอลงได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนหลายด้านที่มีส่วนช่วยในการเพิ่มสภาพคล่องและกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศได้มากขึ้น อาทิ นโยบายของรัฐบาล ทั้งในส่วนของมาตรการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ มาตรการเพิ่มค่าตอบแทนข้าราชการ โครงการรับจํานําสินค่าเกษตร มาตรการภาษีสำหรับรถยนต์คันแรกและบ้านหลังแรก เป็นต้น
จากปัจจัยต่างๆ ที่ได้กล่าวมาในข้างต้น ล้วนสนับสนุนต่อการขยายตัวของภาคค้าปลีกในปี 2555 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประมาณการว่า ภาคค้าปลีกในปี 2555 มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณร้อยละ 7-8 และในปี 2556 คาดว่าตลาดค้าปลีกจะมีแนวโน้มการขยายตัวใกล้เคียงกับปี 2555 คือ ขยายตัวอยู่ที่ประมาณร้อยละ 6-8 โดยส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากการเตรียมความพร้อมเข้าสู่การเป็นสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เริ่มมีการร่วมทุนระหว่างผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศ และการร่วมทุนระหว่างผู้ประกอบการไทยด้วยกันเอง ในการขยายสาขาร้านค้าปลีกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะนำมาซึ่งการปรับปรุงและพัฒนากระบวนการดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางการแข่งขันภายในอุตสาหกรรม
นอกจากการร่วมทุนของผู้ค้าปลีกแล้ว ภายหลังการฟื้นฟูความเสียหายและชดเชยผลกระทบจากน้ำท่วม ผู้ประกอบการค้าปลีกยังมีแผนลงทุนสร้างศูนย์กระจายสินค้าเพิ่มเติมเพื่อกระจายความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากประสบปัญหาน้ำท่วม การลงทุนเพื่อปรับปรุง พัฒนา และสร้างความทันสมัยให้กับสาขาเดิม รวมถึงการพัฒนารูปแบบร้านค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ส่งเสริมและกระตุ้นการขายในรูปแบบต่างๆ เพื่อดึงดูดผู้บริโภคและรักษาส่วนแบ่งตลาดเอาไว้ให้ได้มากที่สุด เช่น การสร้างความผูกพันและการซื้ออย่างต่อเนื่องผ่านบัตรสมาชิก การพัฒนาช่องทางการติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) และแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ (Mobile Application) เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริโภคในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร สินค้า และบริการ ผ่านช่องทางและเครื่องมือสมัยใหม่ที่สามารถตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่เริ่มขยายสู่วงกว้างมากขึ้น
อย่างไรก็ตามร้านค้าปลีกสมัยใหม่ขนาดเล็กยังคงเป็นรูปแบบที่น่าจับตามอง เนื่องจากสามารถเข้าถึงชุมชนและลูกค้าได้ง่าย รวดเร็ว สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ได้แก่ หน่วยการบริโภคต่อครัวเรือนมีขนาดเล็กลงตามขนาดของครัวเรือนทั้งจากการที่ประชากรอาศัยอยู่คนเดียว และคู่สมรสที่ไม่มีบุตรเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคไม่สามารถซื้อสินค้าเก็บไว้ทีละมากๆ เนื่องจากอยู่อาศัยภายใต้พื้นที่จำกัด เช่น อาคารพาณิชย์ และคอนโดมิเนียม รวมถึงวิถีชีวิตที่มีความเป็นเมืองมากขึ้น เป็นผลให้พฤติกรรมการใช้ชีวิต และความต้องการของผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายและความรวดเร็ว ร้านค้าปลีกขนาดเล็กใกล้บ้านจึงเป็นทางเลือกที่สำคัญ โดยอาจมีการผสมผสานรูปแบบร้านค้ามาตรฐาน และปรับรูปแบบให้สอดคล้องความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น เช่น ร้านสะดวกซื้อกึ่ง
ซุปเปอร์มาร์เก็ต (Super-Convenience Store) ซึ่งเป็นร้านค้าขนาดเล็กที่ขายสินค้าในลักษณะเดียวกับร้าน
ซุปเปอร์มาร์เก็ต เน้นการจําหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าประเภทอาหารสด สำหรับร้าน 7-Eleven ยังคงมุ่งสู่การเป็นร้านอิ่มสะดวก (Convenience Food Store) โดยเน้นสินค้าอาหารพร้อมทานและสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในการดำรงชีวิต
ในปี 2555 มีจำนวนร้านค้าปลีกประเภทร้านสะดวกซื้อในลักษณะกลุ่มของร้านย่อยที่อยู่ภายใต้บริษัทเดียวกัน (Chain Store) เพิ่มขึ้น 967 สาขา ซึ่งในจำนวนนี้มาจากการขยายสาขาของร้าน 7-Eleven ถึง 546 สาขา แต่เนื่องจากผู้ประกอบการบางรายหยุดการดำเนินกิจการ ทำให้จำนวนร้านค้าปลีกโดยรวมลดลง
ที่มา : 7-Eleven
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น