ร้านค้าปลีกสะดวกซื้อ (Convenience Store) ยังคงเป็นรูปแบบร้านค้าปลีกสมัยใหม่ไซส์เล็กที่ผู้ประกอบการต่างให้ความสนใจและรุกขยายสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้จากปัจจุบัน มีผู้ประกอบการรายใหม่ หรือผู้ประกอบการค้าปลีกในรูปแบบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ซัพพลายเออร์สินค้าอุปโภคบริโภคก็หันมารุกขยายตลาดค้าปลีกขนาดเล็กกันมากขึ้น โดยเฉพาะการรุกขยายสาขาไปยังต่างจังหวัด ซึ่งสอดคล้องไปกับการขยายตัวของความเป็นเมืองที่มุ่งออกสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น (Urbanization) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อพฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ทั้งนี้ คาดว่า ในปี 2556 มูลค่าตลาดร้านค้าปลีกสะดวกซื้อจะขยายตัวอยู่ที่ประมาณร้อยละ 15-20 (YoY) และจัดเป็นร้านค้าปลีกที่ยังคงมีการเติบโตอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับค้าปลีกรูปแบบอื่นๆ
เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านกฎหมายผังเมืองโดยเฉพาะการกำหนดโซนนิ่งในการขยายสาขาขนาดใหญ่ในรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต ในปี 2555 ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ Multi Format โดยการพัฒนารูปแบบโครงการที่หลากหลายทั้งที่เป็น ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว รูปแบบผสมผสานระหว่างห้างค้าปลีกและศูนย์การค้าขนาดย่อม และ รูปแบบร้านค้าขนาดเล็กในลักษณะใกล้เคียงกับร้านสะดวกซื้อ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการรุกเข้าสู่ตลาด ในส่วนของกลยุทธ์เพื่อเพิ่มยอดขาย ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำตลาด จากที่เคยมุ่งเน้นแค่เรื่องราคาถูก โปรโมชั่นลดแลกแจกแถม และการจัดการตัวสินค้า เป็นการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้ใช้บริการโดยใช้โปรแกรมลูกค้าสัมพันธ์ผ่านบัตรสมาชิกและบัตรเครดิตของห้าง มีการแบ่งแยกกลุ่มของผู้ใช้บริการอย่างชัดเจน ทั้งกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับเรื่องราคา กลุ่มที่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม และกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการบริการ เพื่อที่จะบริหารลูกค้าที่มีความต้องการแตกต่างกันอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ยังมุ่งสร้างความมั่นใจในเรื่องคุณภาพ พร้อมทั้งการการันตีความพอใจ โดยการสื่อสารกับผู้บริโภคผ่านทางสื่อหลัก ทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และ Direct Mail เพื่อประชาสัมพันธ์โปรโมชั่นที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วจาการทำ Benchmark Campaign อย่างเข้มข้น
นอกเหนือจากกลยุทธ์ดังกล่าว ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ยังเริ่มรุกสู่ตลาดในระดับบนกว่ากลุ่มผู้ใช้บริการห้างค้าปลีกขนาดใหญ่โดยการเปิดร้านค้าปลีกในรูปแบบ “เอ็กซ์ตร้า” ซึ่งมีการปรับปรุงทั้งในด้านภาพลักษณ์ คุณภาพของสินค้า และการให้บริการ เพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้บริการกลุ่มดังกล่าวที่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพระดับพรีเมี่ยม
โดยภาพรวม ผู้ประกอบการกลุ่มห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ (Hypermarket) และร้านค้าปลีกซูเปอร์มาร์เก็ต ได้มุ่งเน้นการพัฒนาร้านค้าในขนาดเล็กลงในรูปแบบร้านสะดวกซื้อกึ่งซูเปอร์มาร์เก็ต หรือที่เรียกว่า ซูเปอร์คอนวีเนียนสโตร์ (Super Convenient Store) และร้านสะดวกซื้อ (Convenient Store) เช่น โลตัส เอ็กซ์เพรส (Lotus Express) มินิ บิ๊กซี (Mini BigC) ท็อปส์ เดลี่ (Tops Daily) ซีพี ฟู้ด มาร์เก็ต (CP Food Market) และแม็กซ์แวลู (Max Value) โดยมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองหลักต่างๆ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคในย่านที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า และในชุมชนที่เกิดใหม่ ภายในปีที่ผ่านมา
ประกอบกับ ร้านค้าปลีกสะดวกซื้อ (Convenience Store) เดิม อย่าง เซเว่น อีเลฟเว่น(7-Eleven)
ก็ปรับขนาดให้ใหญ่ขึ้น โดยเพิ่มไลน์เบเกอรี่ กาแฟสด เข้าไป รวมถึงแบรนด์รองอย่าง แฟมิลี่ มาร์ท (Family Mart ) ที่กลุ่มเซ็นทรัลได้เข้ามาซื้อหุ้นก็คงจะมีการปรับกลยุทธอย่างแน่นอน ส่วน 108 Shop ของกลุ่มสหพัฒน์ ก็ซื้อแบรนด์ Lawson แบรนด์ร้านสะดวกซื้ออันดับสองจากญี่ปุ่น โดยปรับร้าน 108 Shop เดิม เป็น ลอว์สัน 108 (Lawson 108 ) ทำให้ตลาดร้านสะดวกซื้อนั้นคึกคักขึ้นมาทันที
แนวโน้มธุรกิจในอนาคตคาดว่าผู้ประกอบการกลุ่มนี้จะเริ่มเจาะตลาดหัวเมืองรองในต่างจังหวัดและมีการขยายสินค้าในกลุ่มอาหารมากขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น