Social Media

ยาฮู  เฟซบุ๊ค wordpress RSS มายสเปซ ยูทูป Tumblr กูเกิล+ Flickr Reddit Twitter Retail Academy

หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

"เซ็นจูรี่ 21" ชี้ค้าปลีกไทยโตจัด พื้นที่ในห้างจะเพิ่มเป็น 2.5 แสนตร.ม. คอมมิวนิตี้มอลล์ 1.5 แสนตรม.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เซ็นจูรี 21 เรียลตี้ แอฟฟิลิเอทส์ (ประเทศไทย)  จำกัด ได้เผยแพร่รายงานสภาวะตลาดพื้นที่ให้เช่าเพื่อการพาณิชย์ หรือ Retail Market ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร พบว่าตลาดมีทิศทางและแนวโน้มที่ดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2553 เป็นต้นมา ต่อเนื่องมาถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2554 โดยดัชนีการขายพื้นที่ให้เช่าเพื่อการพาณิชย์ (The Retail Sale Index) ณ เดือนธันวาคม 2553 อยู่ในระดับ 186.15 จุด (ดูกราฟประกอบ) ซึ่งถือว่ามีทิศทางการปรับตัวที่สูงขึ้น เนื่องจากผู้เช่าเริ่มมองทิศทางตลาดและเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น

สำหรับปี 2011 บริษัทฯ ยังคงคาดการณ์ ตลาดพื้นที่ให้เช่าเพื่อการพาณิชย์ ยังมีทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเรื่องการของการท่องเที่ยวที่เริ่มดีขึ้น ส่งผลให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ประกอบกับปริมาณความต้องการซื้อสินค้าของจีน และอินเดีย ที่มีทิศทางที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งจะช่วยสนับสนุนตลาดส่งออกของไทย และภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

 ในส่วนของพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครเอง ในปี 2554 คาดว่าจะมีการปรับเปลี่ยนในหลายส่วน ซึ่งส่งผลดีต่อตลาดให้เช่าพื้นที่เพื่อการพาณิชย์ด้วย อาทิ เรื่องของการพัฒนาพื้นที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า บีทีเอส (Sky Walk)  โดยสามารถเชื่อมต่อทั้งอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าต่าง ๆ  โดยเฉพาะ พื้นที่ในเขต สุขุมวิท เพชรบุรีตัดใหม่ สีลม สาทร  รามคำแหง  เป็นต้น ซึ่งโครงการดังกล่าวจะทำให้การสัญจรของกลุ่มผู้บริโภคทำได้สะดวก และส่งผลต่อการจราจรของผู้คนที่สัญจรไปมาเป็นจำนวนมาก

บริษัทฯประเมินว่าในปี 2554 พื้นที่ให้เช่าเพื่อการพาณิชย์ในเขตกรุงเทพฯ จะมีมากกว่า 200,000 ตารางเมตร  และเพิ่มกว่า 250,000 ตารางเมตรในปี 2555 ขณะที่อีกตลาดที่น่าจับตา คือตลาดประเภท  ไลฟ์สไตล์ มอลล์ (Life Style Mall) หรือ Community Mall  ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเพิ่มจำนวนขี้นอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะกลุ่ม โดยในปี 2-3 ปี ข้างหน้า บริษัทฯ  คาดการณ์ว่า พื้นที่ประเภท ไลฟ์สไตล์ มอลล์ จะมีสูงกว่า 150,000 ตารางเมตร  
พื้นที่ที่อยู่รอบนอกเขต CBD (Central Business District) ก็ยังมีหลายส่วนที่พร้อมจะมีโครงการให้เช่าพื้นที่เพื่อการพาณิชย์อีกหลายโครงการ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวกับเสื้อผ้า แฟชั่น รวมถึงธุรกิจไอที และเกมส์ กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน โดยในช่วงไตรมาสที่ 2 นี้ ในย่านวังบูรพา จะมีพื้นที่ให้เช่าเพื่อธุรกิจไอที และ เกมส์ เกิดขึ้นอีกหนึ่งโครงการซึ่งน่าจะสร้างความคึกคักให้กับตลาดนี้ด้วยเช่นกัน

 “ตอนนี้นอกจากกำลังซื้อในประเทศแล้ว ผู้เช่าพื้นที่เพื่อการพาณิชย์ (Retailers) ตั้งเป้าหมายไปที่กลุ่มเป้าหมายชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจีนและอินเดีย ในอนาคตทั้งสองกลุ่มจะเป็นตัวแปรสำคัญ โดยปี 2553 ทั้งสองประเทศนี้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยรวมกันแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคนหรือเพิ่มขึ้นถึง 50% นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะส่งผลดีโดยตรงกับพื้นที่ให้เช่าประเภทที่เป็นสินค้าแฟชั่น ประเภทเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะโครงการในย่านถนนเพชรบุรีตัดใหม่ และ ย่านประตูน้ำ ถือว่าเป็นทำเลที่มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว”

ในระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า แนวโน้มของตลาดพื้นที่ให้เช่าเพื่อการพาณิชย์ บริษัทประเมินว่ามีทิศทาง และแนวโน้มที่ดีในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มสินค้าที่อิงกับการส่งออก และท่องเที่ยว เนื่องจากประเทศใหญ่ ๆ อย่าง อินเดีย และจีน กำลังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ประกอบกับแนวโน้มและทิศทางของเศรษฐกิจไทยมีมีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น


ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

คอมมิวนิตี้มอลล์แห่งใหม่ "เรนฮิลล์ สุขุมวิท 47" เซ็นสัญญาพันธมิตร 25 ราย พร้อมเปิดปลายปีนี้แน่นอน


มร. ปรับ ทักราล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทบูทิค ผู้พัฒนาโครงการคอมมิวนิตี้มอลล์แบรนด์ "เรนฮิลล์" ทำเลหัวมุมสุขุมวิท ซอยสุขุมวิท 47 เปิดเผยว่า โครงการเรนฮิลล์ออกแบบเป็นอาคาร 5 ชั้นมีพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร ทำเลตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ระหว่างสถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์และทองหล่อ โดยเรนฮิลล์เป็นคอมมิวนิตี้มอลล์เพียงแห่งเดียวที่ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท อยู่ระหว่างหัวมุมถนนสุขุมวิทและซอยสุขุมวิท 47 โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือผู้ที่อาศัยในย่านสุขุมวิท รวมถึงชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชุมชนชาวญี่ปุ่นที่พำนักในไทย

ล่าสุด บริษัทได้จัดพิธีลงนามในสัญญาอย่างเป็นทางการร่วมกับผู้เช่าพื้นที่ชั้นนำกว่า 25 ราย ตอกย้ำความเป็นคอมมิวนิตี้มอลล์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมแล้วที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในปลายปีนี้

“การเข้าร่วมในโครงการเรนฮิลล์ของพันธมิตรทางธุรกิจที่เป็นร้านค้าแบรนด์ดังๆ อาทิ โอ บอง แปง, ด็อท ไลฟ์, แม็กซ์แวลู ทันใจ, ไวน์ คอนเน็คชั่น เดลิ แอนด์ บิสโทร, โทราจิโร่, อิน เดอะ มู้ด ฟอร์ เลิฟ, เพนกวิน ไลค์ส ช็อกโกแลต, สวีท อิท ทิส, ส้มตำดอกรัก, ฮ่องกงคิทเช่น, พริมาดา, อาย ไบร์ท บาย ท้อปเจริญ, ยานกี แคนเดิล, คาสะ, เอเอสเอพี, พาร์, ดีล สแตน บาย หมี่, ฮิมแอนด์เฮอ, เนลแคร์, เบบี้ส์ จีเนียส, เฮาส์ ออฟ สลัด, คาซ่า เดอร์มา และไทย ฟอร์ คิดส์ ทำให้โครงการเรนฮิลล์กลายเป็นไลฟ์สไตล์ คอมมิวนิตี้มอลล์ ที่รวมร้านค้าหลากรูปแบบ"

โครงการเรนฮิลล์ ครอบคลุมพื้นที่ห้าชั้น มีร้านค้าให้บริการ แบ่งออกเป็น ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 37% สถาบันการศึกษา 21% ร้านค้าเพื่อสุขภาพและความสวยงาม 14% ร้านกาแฟและเบเกอรี่ 7% ซุปเปอร์มาร์เก็ต 5% แฟชั่น 10% และร้านค้าปลีกทั่วไป 6% ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร เป็นพื้นที่ให้เช่าขนาดประมาณ 4,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยร้านค้ารวมทั้งสิ้น 40 ยูนิต โดยจะเปิดให้บริการทุกวัน เวลา 10.00-22.00น. โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการภายในเรนฮิลล์เฉลี่ย 3,000 คน ต่อวัน (สำหรับจันทร์ถึงศุกร์) และ 5,000 คนต่อวัน (สำหรับเสาร์-อาทิตย์)  แต่ละชั้นของอาคารได้รับการออกแบบมาเพื่อเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเป็นสัดส่วน โดยแบ่งเป็น ชั้น 1 จะเป็นโซนร้านกาแฟ เบเกอรี่ และไลฟ์สไตล์ทั่วไป ชั้น 2 เป็นโซนร้านเสื้อผ้า แฟชั่น เครื่องประดับ และร้านอาหาร ชั้น 3 เป็นโซนร้านอาหาร สุขภาพและความงาม ชั้น 4 เป็นโซนเพื่อการศึกษา  และชั้น 5 จะเป็นอพาร์ตเม้นท์ให้เช่า และชั้น B1 และ B2 จะเป็นที่จอดรถ

นอกจากนี้ ตัวอาคารยังได้รับการออกแบบมาให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามปณิธานของเรนฮิลล์ตั้งแต่ริเริ่มแนวความคิด ทั้งการใช้พลังงานแบบรีไซเคิล เพื่อประหยัดพลังงาน พร้อมกับระบบเครื่องปรับอากาศที่ใช้น้ำระบายความร้อน ซึ่งเป็นการลดมลภาวะทางความร้อนทางหนึ่ง ทั้งนี้แนวความคิดนี้จะถูกส่งต่อไปยังร้านค้าที่จะเข้ามายังเปิดภายในโครงการ เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์สังคมที่ใส่ใจรายละเอียดแก่ส่วนรวมร่วมกัน

มร.ปรับกล่าวด้วยว่า ปัจจุบัน กลุ่มบริษัทบูทิคมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การบริหารอยู่จำนวน 8 แห่ง เป็นโครงการที่แล้วเสร็จ 6 แห่ง ภายใต้แบรนด์ Citadines และ Oakwood และอยู่ระหว่างดำเนินการ 2 แห่ง โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ 6 แห่ง มีจำนวน 715 ห้อง ซึ่งบริษัทฯ มีแผนจะขยายขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในอีก 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า ล่าสุด เราหันมาสนใจกลุ่มธุรกิจศูนย์รวมร้านค้า ด้วยการเปิดตัว เรนฮิลล์ ด้วยเงินลงทุนกว่า 300-400 ล้านบาท
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

WORKING LIFESTYLE บริหารชีวิตอย่างมีรสนิยมในสไตล์ นพพร วิฑูรชาติ

By Hi-Class 252



“งานที่ผมทำก็คือผมต้องชอบ เพราะผมเป็น คนชอบช้อปปิ้ง สังเกตได้ในวงการนักธุรกิจนี้ มือพระกาฬต้องเป็นผู้หญิงทั้งนั้น คุณต้องชอบ ช้อปปิ้ง คุณต้องเข้าถึงแบรนด์ ต้องเข้าใจมัน คุณต้องเข้าใจถึงความรู้สึกของลูกค้า วันที่คุณ สร้างศูนย์การค้าต้องนึกภาพออกมาเลยว่าคุณ จะเห็นใครมาเดิน หน้าตายังไง แต่งตัวแบบไหน ถือถุงยี่ห้ออะไร ถือกระเป๋าแบบไหน มันต้องนึกภาพ ออกเลย ต้องเห็น ต้องเป็นแบบนั้น ผมต้องเป็น คนชอบช้อปปิ้ง ต้องเป็นคนชอบแต่งตัวบ้าง ชอบออกไปใช้ชีวิต ต้อง Really fell ที่จะมี ความสุขกับมัน”
รูปแบบชีวิตของนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จจากการสร้างสรรค์ความแปลกใหม่ในเชิงพาณิชย์ที่ชื่อ นพพร วิฑูรชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ผู้ฝากผลงานไว้เป็นที่กล่าวขานในเหล่านักช้อป ผู้พิสมัยรูปแบบการใช้ชีวิตอันมีระดับ แต่สามารถ เข้าถึงได้โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องมีขนาดใหญ่ ใจกลางเมือง ซึ่งมีอยู่ทั่วไป แต่ยากต่อการเข้าถึง และเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์การค้าได้ ซึ่งโครงการ ในความรับผิดชอบนั้นประกอบด้วย Convenience center 4 แห่ง, Neighborhood center 8 แห่ง, Lifestyle center 3 แห่ง, Power center 3 แห่ง และอีก 1 Urban entertainment center ในจุด ต่างๆ ทั้งกรุงเทพฯ และพื้นที่รอบนอก
“ผมจบวิศวะฯ คอมพิวเตอร์ที่ลาดกระบัง เรียนแค่ปริญญาตรีแล้วมาทำงาน พอดีทำงานเร็วนะ รุ่นๆ ผมที่ทำงานเร็ว มีเยอะ เคยทำหนังสือในเครือ Man group ทำหนังสือ Electronic Magazine และไปอยู่บริษัทที่ร่วมทุนกับไอบีเอ็มขายคอมพิวเตอร์ประมาณ 1 ปี ขายคอมพิวเตอร์ไอบีเอ็มที่เป็นโน้ตบุ๊ค และเครื่อง ใหญ่”
“ก่อนจะมาทำธุรกิจผมทำงานอยู่เครือซีเมนต์ไทย ซึ่งเมื่อผมตัดสินใจว่าอยากจะเรียนต่อปริญญาโทในต่างประเทศจึงลาออกจากเครือซีเมนต์ไทยมาช่วยดูแลกิจการที่บ้านพักหนึ่งระหว่างที่เตรียมตัว ซึ่งครอบครัวของผมเป็นเจ้าของตลาดที่มีนบุรี ทำมาหลายรุ่นแล้ว สัก 50 ปี ดูไปดูมาทางญี่ปุ่นคือจัสโก้อยากทำซุปเปอร์มาร์เก็ต เขามาคุยถึงแนวทางความเป็นไปได้ในทางธุรกิจว่ามี Shopping center คอนเซ็ปต์แบบนี้ที่เมืองนอก เราเองไม่รู้จักก็เลยบอกว่าโอเคเอามาสิ พาผมไปเรียนรู้และเราสร้างให้เขาบนที่ดินของเราทำออกมาเหมือนกับเมืองนอก และผลก็คือประสบความสำเร็จ
“ที่จริงก็คือรูปแบบของตลาดสดติดแอร์ ว่าอย่างนั้นเถอะ จากตึกแถวก็เปลี่ยนมาให้มันมีรูปแบบโค้งๆ มีที่จอดรถ มีสวน มีบริเวณ มีร้านที่มีชื่อเสียงที่ดี มีการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ คอนเซ็ปต์พวกนี้ มันมีในเมืองนอกมา 50-100 ปีแล้ว ต่อมาคิดว่า มีลูกค้าเพิ่มมากขึ้นเพราะทางจัสโก้เองเขาก็บอกว่าอยากให้เราทำที่อื่นด้วย ซึ่งไม่ใช่รูปแบบธุรกิจครอบครัว ผมก็เลยตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ โดยชวนเพื่อนร่วมงานที่ปูนฯ (เครือซีเมนต์ไทย) ผู้บริหาร เจ้านาย มารวมกัน ตั้งบริษัท สยามฟิวเจอร์ฯ ขึ้นมาเมื่อปี 1994
“พนักงานที่ร่วมตั้งบริษัท ก็มาจากการชวนพรรคพวก ที่เครือฯ (ซีเมนต์ไทย) มาร่วมด้วยกันขยายสาขาปีละแห่ง จากนอกเมืองเข้ามาสู่ในเมือง จริงๆ รูปแบบพวกนี้ที่เราทำงานนับเป็นปีก็ 13 ปีแล้ว ไม่เรียกว่าของใหม่ ทำงานไปก็นึก...มันมีสูตรสำเร็จ เช่นว่า หลักทางการตลาดมีปริมาณ มีประชากร รองรับ มีลูกค้าเท่าไหร่ คอนเซ็ปต์จะเป็นอย่างไร เรียกว่าเราทำไปได้เรื่อยๆ แต่ตอนหลังมีรูปแบบที่ Up scale ขึ้น เป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น เมื่อก่อนเราเป็น Neighborhood shopping center เป็นศูนย์การค้า ชุมชน”
“เราตั้งบริษัทโดยยึดหลักที่คนเป็นหลัก ข้อแรกอยู่ที่คน เราให้ความสำเร็จกับคนเหมือนตอนอยู่เครือฯ คนก็คือคนคุณภาพ มีรูปแบบระบบบัญชีที่ถูกต้อง เราคิดถึงคุณค่าของคน คนที่ได้มีคุณภาพมันก็พัฒนาบริษัท ในระยะยาวได้ เรามองในระยะยาวมากกว่า เพราะธุรกิจ Real estate มันเป็นธุรกิจที่ลงทุนสูง และโดยเฉพาะสินค้ามันก็กินค่าเช่า มันก็กินไปได้ทุกปีนะ อยู่ที่การบริหารงานซึ่งเราเป็นบริษัทแรกๆ ที่มี Good governance บัญชีก็ใช้ ชัยยศตรวจสอบ”
“เรื่อง Governance ของเงินเช่นสมัยก่อนทำ Real estate เยอะแยะเลย ซื้อที่ดิน Land bank ไว้แล้วพอได้เงินเยอะๆ ช่วงธุรกิจดีก็เอาไปทำ อย่างอื่นซะ ขยายธุรกิจที่ทำไม่ถนัดไป บางคน อาจจะไปซื้อของด้วยนะ แต่ของผมโฟกัสในธุรกิจ ที่เราถนัด เราใช้เงินทุนเฉพาะธุรกิจที่เราทำ ไม่ใช่เรา ไปซื้อตึก ซื้อเรือ ซื้อนู่นซื้อนี่อย่างนั้นเราไม่ทำ บริหาร การเงินอย่างมีประสิทธิภาพไม่ให้มี Ratio สูง พวกนี้ มันเป็น Governance มากกว่า
“พอเศรษฐกิจตกปั๊บคนก็เอาแล้ว...ไม่มีเงิน จ่ายหนี้ เพราะหนี้เงินกู้ธนาคาร ไม่มีเงินจ่าย เงินเดือนลูกน้อง ของผมไม่มีแบบนั้น ผมทำ โปรเจ็คต์หนึ่งก็มาใส่โปรเจ็คต์ใหม่ ที่ดินไม่ซื้อ Land bank ไว้เยอะ ทำเฉพาะที่เราเห็นว่ามีโปรเจ็คต์ มีลูกค้าซื้อจริงๆ คนเราก็ไม่ได้จ้างมากเกินไป เราคัดคนที่มีคุณภาพและจ่ายเงินเดือนอย่าง เหมาะสม ระหว่างที่เศรษฐกิจตกผมแทบไม่ได้ให้พนักงานออกเลย อยู่มาสิบกว่าปีมีพนักงานออกนิดเดียว ถือว่าน้อยมาก แต่พนักงานไม่เยอะนะครับ ทั้งบริษัททุกวันนี้ก็มี 50 กว่าคน ดูแล 18 ศูนย์ฯ”
“ถามว่ามีปัญหาไหม เราก็รีบคืนเงินกู้ เพราะว่าดอกเบี้ยมันแพงเหลือเกิน 17-18% แต่ผม ก็กู้ไม่เยอะนะ ผมกู้ส่วนตัวที่บ้านบ้าง กู้ธนาคารบ้าง กู้ปู่นั่นแหละพูดง่ายๆ กู้ธนาคารอยู่ก็รีบคืน เศรษฐกิจตกปีแรกเราแทบจะคืนหมดแล้ว ไม่ถึงครึ่งปีเราก็คืนหมด แทนที่เราจะเอาเงินไปลงทุนเพิ่ม เราก็เอาคืนดีกว่า ดอกเบี้ยมันสูงชะลอไปสัก
2 ปีก่อน
“แต่เศรษฐกิจยังไม่ทันพ้นช่วงผมก็สร้าง ศูนย์ใหม่ที่พระโขนง สุขุมวิท 71 และปรากฏว่า เราโชคดีไม่มีหนี้ เราก็มีเครดิต ที่ดินของคนที่จะมาทำแข่งกับเราก็แย่ไปหมดนะ ราคาที่ดินตก ผมก็หาเช่าที่ดินใหม่ได้ราคาดี ผู้รับเหมาว่างงาน เรามีงานเขาก็อยากทำ จริงๆ ลูกค้ายังมีเหลืออยู่เยอะเพราะว่าลูกค้าที่เป็น Professional เขาอยากขยาย แต่เขาไม่มีคนทำพื้นที่ศูนย์การค้าให้ เพราะช่วงนั้นศูนย์การค้าหยุดขยายทั้งหมด และเราไม่ได้ทำศูนย์การค้าขนาดใหญ่ด้วย เราทำขนาดกลางกับเล็ก ลูกค้าก็เป็นรายเดิม ซึ่งเป็นลูกค้าที่เป็น International chain พวกนี้ เขามีกำลังสายป่านยาว เราโชคดีได้อย่างนั้นไป
“ระหว่างเศรษฐกิจตก ไม่มีเงินกู้เหลือสักบาทเดียวก็รอดมาได้ พอมีโอกาสมีคนเสนอที่ดินให้ มีคนเสนอต้องการเช่าพื้นที่ มีซุปเปอร์มาร์เก็ต บอกว่าอยากขยาย ซึ่งช่วงนั้นซุปเปอร์มาร์เก็ตมาเมืองไทยเยอะนะ จัสโก้ ท็อป ฟู๊ดไลออน ฯลฯ เข้ามาเยอะแยะแต่เราไม่มีศูนย์การค้าทำให้เขา เราเห็นโอกาสก็เลยเข้าตลาดหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์เข้าไปทำไม 1.คุณต้องการเงิน 2.คุณมีโอกาสขยายธุรกิจ มี 2 อย่างก็เป็นโอกาส”
“คือผมขายของที่ไม่ได้ไปขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจมากนัก เราขายของจำเป็น ของกินของใช้ สังเกตดูว่าต่อให้ศูนย์ของผมจะหรูหราขนาดไหน แต่พื้นฐานจะเหมือนเดิม คอนเซ็ปต์ยังเหมือนเดิม เราเป็นบริษัทในตลาดฯ เราไม่มีทางที่ทำสิ่งใดแล้วจบ เราต้องทำอะไรที่เราสามารถขยายคอนเซ็ปต์ ไปได้เรื่อยเพื่อให้ธุรกิจเจริญเติบโต ทำของขาย ชิ้นเดียวเราไม่เอา
“เราเปิด J Avenue และเราก็เปิดพหลโยธินต่อ แจ้งวัฒนะต่อ เอกมัยเราทำเสร็จ เรียกว่าเป็น ศูนย์รวมสินค้าเฉพาะอย่างเยอะๆ ขายไม่แพง เป็นพวก Value oriented ในยุโรปเขาเรียก Retail park และที่เราทำก็จะมี Esplanade เปิด มีพัทยา ปีหน้าเราก็มีไปเรื่อยๆ มีรัชโยธินตรงข้ามเมเจอร์ รัชโยธินเป็นโปรเจ็คต์ปีหน้า พวกนี้จะกระจาย ไปตามที่อยู่อาศัย วงไปรัศมี 2 กิโลฯ ไม่มีคู่แข่ง วงไปเห็นหัวได้เลย 60,000-70,000 หลัง กำลังซื้อ ขนาดนี้บ้านเท่านี้มีกี่หลัง ต้องมาอยู่แล้วใส่ลงไป เพราะคนต้องไปซื้อของ และต่อด้วยดูหนัง ขอให้มี ของดีๆ ใกล้บ้านคุณ มันเป็นเรื่องที่ดี เราไม่ได้ทำ ของแปลก”
“คอนเซ็ปต์ขายของจำเป็น เป็นศูนย์การค้า ชุมชนใกล้บ้านคุณนี่คือหลักการ ลูกค้าก็ต้องการ ศูนย์การค้าชุมชนใกล้บ้าน เราจะอยู่ตรงนั้น เราทำ ศูนย์การค้าชุมชนใกล้บ้านคุณ”
“ผมมีหลักการในการทำธุรกิจคือคุณต้องทำ ในสิ่งที่รัก คุณมีอิสระ คุณไม่ได้ถูกบังคับให้ไปทำ และถ้าคุณทำแล้วชอบและคุณรักมัน งานที่ออกมา นั่นคือความสุขที่คุณได้จากการทำงาน และได้ 2 อย่างนั้น ได้ทำในสิ่งที่รักและได้รักในสิ่งที่ทำ ผมพยายามหาอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่ทำงานมา”
เบื้องหลังของความสำเร็จ กว่าจะเป็นไปตาม เป้าหมายนั้นไม่มีสิ่งใดได้มาง่ายๆ แต่ผู้ชายคนนี้ กลับยิ้มรับ และค่อยๆ คิดหาทางออกอย่างมีระบบ ทำให้บุคคลรอบข้างแทบไม่รู้สึกถึงปัญหาที่กำลัง ถาโถมเข้าใส่
“มี...โธ่ แหมท้อแท้เจอความกดดันจากงาน ทุกอย่าง บางทีก็เครี้ยดเครียด เรื่องนู้นเรื่องนี้ ศูนย์เปิดไม่ทัน เรื่องปัญหาเยอะแยะ ปฏิวัติก็เครียด อีกแล้ว กลัวว่าจะสร้างทันรึเปล่า มีเรื่องเยอะแยะ ที่พึ่งทางใจดูหนังฟังเพลง มี 2-3 อย่าง ผมคิดว่า คนเราต้องรู้ตัวตลอดเวลา มีสติอยู่ตลอดว่าเรา อยู่ตรงไหน ผมว่าไม่ต้องไปพึ่งอะไรไกลตัว อันดับแรกคือตัวเราและเพื่อน สังคมที่อยู่รอบ ตัวเราก็ครึ่งหนึ่งแล้วแหละ และเพื่อนกับครอบครัว อีกครึ่งหนึ่ง งานก็อย่าไปทำให้เครียดเลย ถ้าคุณทำ ในสิ่งที่รักและรักในสิ่งที่ทำก็ไม่ต้องเครียด”
“คุณรู้มั้ยว่าเป็นการมองผ่านเลนส์ของ ผู้กำกับ หรือว่าผ่านสมองผู้กำกับว่าคิดอย่างนี้ สตอรี่บอร์ดเป็นอย่างนี้ และคุณดูหนังผู้กำกับ เก่งระดับโลกคุณเห็นความคิดเยอะแยะไปหมด วิสัยทัศน์ของคนฉลาดๆ เต็มไปหมด และไม่ใช่แค่ หนัง มันมีสารคดี คุณไม่ต้องเสียเงินเยอะ เสียแค่ 120 บาท ได้ไปเที่ยว เดี๋ยวไปโรม เดี๋ยวก็ไปนิวยอร์ก มีความสุขจะตาย เป็น Chive traveling ได้เห็นนู่น เห็นนี่ อะไรแปลกๆ ในชีวิตคน”
ดูเหมือนสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ใคร ก็ทำได้เมื่อมีใจรักและมีโอกาส หากแต่สิ่งที่ยากใน สายตาของเขาก็คือจิตใจยากแท้หยั่งถึงของ ‘คน’ นั่นเอง
“สิ่งที่คิดว่ายากเรื่องคนยากสุด เรื่องอื่น ไม่ยากหรอก เป็นปัญหาคลาสสิค เจอคน...ลูกน้อง เจ้านาย พาร์ทเนอร์ ฯลฯ การบริหารจัดการอะไร ที่เราถนัดเราก็ทำเองซะ อะไรที่เราไม่ถนัดก็ให้หา คนที่ถนัดมาทำต่อ”
“คุณต้องรู้ตัวว่าคุณถนัดอะไร สมมุติคุณ ถนัดเรื่องการตลาดก็ดูการตลาดไป ถ้าคุณไม่ ถนัดการตลาดแต่ถนัดผลิตก็ไปผลิต ดูเรื่องวิจัย Product development ก็ว่าไป หัดแบ่งเค้กให้ คนอื่นเขาบ้าง ถ้าคุณเก่งเรื่องคนก็ทำเรื่องคนไป คุณเป็นผู้นำแบบหนังเรื่อง Brave heart ต้องขี่ม้า ไปยืนข้างหน้าบอกให้คนอื่นไปรบแทนคุณได้หมด ก็ทำไป ถ้าคุณไม่ทำก็หาคนอื่นมาขี่ม้าแทน ถือธง ปลุกเร้า”
“อย่าไปคิดว่าตัวเราต้องเก่งทุกอย่าง และทำ ได้ทุกเรื่อง ผมไม่ถึงกับโดดเด่น ขายของก็พอได้ แต่ว่าไม่โดดเด่นเหมือนผู้นำองค์กรทั่วไปหลายๆ คน อย่างพาร์ทเนอร์ผมที่อยู่ในวงการธุรกิจ คุณวิชา (พูลวรรักษ์) เขาก็โดดเด่น เขาเก่งกว่าผมเยอะ คุณอรณพ ฯลฯ ผมคิดว่าผมสู้เขาไม่ได้หรอก ไม่เด่น เรื่องพวกนี้ ธรรมดานะ กลางๆ แต่ว่าเรื่องคนเป็น เรื่องที่ยาก ผมคิดว่าเรื่องคนเป็นศิลปะการจัดการ อย่างหนึ่งที่สำคัญมาก แต่ว่าของพวกนี้ถ้าเรา ไม่ถนัดก็ให้คนอื่นเข้ามาทำได้”
“มันไม่ยากกว่ากัน อยู่ที่คุณถนัดอะไร พอดี ผมดูเรื่อง Business development พวกนี้ผมถนัด การตลาด หรือการพัฒนาธุรกิจผมจะชำนาญ ด้านนี้ รวมถึงงานที่ผมทำต้องใช้และมีเรื่องศิลปะ มาเกี่ยวกันค่อนข้างสูงนะ อย่าลืมว่าศูนย์การค้า ทุกวันนี้เป็นทั่วโลกเลย เรื่องการดีไซน์การออกแบบ หรือว่า Design planning สำคัญมาก เป็น Key success อันหนึ่ง เรื่องของดีไซน์สูงมาก ร้านอาหาร ก็ต้องดีไซน์ ศูนย์การค้าก็เหมือนกัน”
“ส่วนที่เราทำเป็นรูปแบบสมัยใหม่ที่เราได้รับ อิทธิพลจากตะวันตกอยู่แล้ว ผมนี่ปรับตัวตามคน เมื่อก่อนคนไปจ่ายตลาดตอนเช้า พอไปสายก็เรียก ตลาดวาย สมัยนี้มีมั้ยไปช้อปตอนเช้า ไม่มี มีแต่เลิกงานแล้วแวะซุปเปอร์ฯ วิถีชีวิตคนเมือง คนทำงานออฟฟิศ ผมก็เปลี่ยนตาม ไปเปิดตลาด ขายตอนเช้าก็เจ๊งอย่างเดียว ก็ต้องมาเปลี่ยน
ขายถึงดึกบ้าง ผมว่าไม่ใช่เราตามเมืองนอก อย่างเดียว ไลฟ์สไตล์ของคนก็เป็นสิ่งที่เราต้องดู”
“ผมเป็นคนที่ทำงานในเวลางานนะ ส่วนใหญ่เสาร์อาทิตย์ก็อยู่ส่วนตัวไม่ได้ทำงาน คิดว่าบาลานซ์ได้ดี บางทีทำงานก็เป็นส่วนหนึ่ง ของชีวิตด้วย ไปดูงานก็ใช้ชีวิตกับครอบครัวได้ ไม่ใช่ว่าทุกเรื่องเราต้องทำเป็นงานหมด แต่พูด อย่างนี้ไม่ได้ว่าเลิกงานแล้ว Shut down เลย คุณไม่ ขยันเท่าไหร่นี่หว่า (หัวเราะ) ก็มีบ้างเสาร์อาทิตย์ แทนที่จะไปศูนย์ฯ ชาวบ้านก็มาศูนย์ฯ ของเรา ตรวจงานดูงาน เห็นอะไรก็อดไม่ได้เรียกลูกน้อง มาแนะว่าอันนี้ไม่ดี บางทีผมมากับแฟนก็ซื้อของ เข้าบ้านจากซุปเปอร์มาร์เก็ตของเราไปด้วย ดูงาน ไปด้วย”
สิ่งง่ายๆในความสำเร็จของผู้ชายคนนี้ ประมวลไว้สั้นๆ ซึ่งใครหลายคนมองเห็นแต่เป็น/มี เช่นนั้นไม่ได้ทุกคน และบางคนมีอยู่แต่ไม่สามารถ ดึงออกมาได้เช่นเขา
“คัมภีร์ชีวิตของผมก็คือ ทำในสิ่งที่รักและรักในสิ่งที่ทำ, ทำงานเราก็ต้องอย่าให้งานเป็น ทุกอย่างในชีวิตและให้ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของงาน และคนที่สำคัญในชีวิตการทำงานก็คือผู้ร่วมงาน / เพื่อนร่วมงานในชีวิตเป็นอันดับหนึ่ง ที่เหลือคือ ครอบครัว และเพื่อนฝูง ก็คือ 3 อย่าง”

พ่อมดคอมมูนิตี้มอลล์

โดย บิสิเนสไทย - 16 สิงหาคม 2550

ชายนิด โง้วศิริมณี เคยได้รับฉายาว่า “แมวเก้าชีวิต” แห่งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะสามารถฝ่าฟันวิกฤติและ สามารถดึง บมจ. พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ขึ้นมาจากก้นหลุมของแผนฟื้นฟูได้ในปี 2548 เจริญ สิริวัฒนภักดีได้ชื่อว่าเป็น “ไทคูนน้ำเมา”ในฐานะที่เป็นเจ้าของป้อมค่ายสุราที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย  มาในยุคปัจจุบัน นักธุรกิจไฟแรงอย่าง“นพพร วิฑูรชาติ” ซีอีโอ บมจ.สยามฟิวเจอร์ฯ จะถูกตั้งฉายาจากวงการธุรกิจ ว่าอะไร...?เมื่อศูนย์การค้าแนวใหม่ของเขา กำลังก้าวขึ้นมาเทียบชั้นยักษ์ค้าปลีก อย่าง เซ็นทรัล และเดอะมอลล์ !

หากย้อนกลับไป 10 กว่าปีก่อน ถ้าเอ่ยถึงชื่อ “นพพร วิฑูรชาติ” ในแวดวงค้าปลีก หลายคนคงได้แต่ส่ายหน้า และถ้ายิ่งบอกว่า เขาเป็นดีเวลลอปเปอร์ คนสำคัญ ที่ร่วมพัฒนา การขยายสาขาของจัสโก้ และเซยู ก็คงจะยิ่งสั่นหัวมากขึ้นกว่าเดิม

กระทั่งวันนี้  นพพร ในตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ SF ผู้บริหารศูนย์การค้าเปิด ในรูปแบบ “คอมมูนิตี้ มอลล์” จำนวน 26 แห่ง ที่เติบโตเร็วที่สุดในเมืองไทย

จนก้าวแซงศูนย์การค้าปิดในรูปแบบเดิมๆ  ขึ้นมาอยู่แถวหน้า ด้วยจำนวนขนาดพื้นที่  2.1 แสนตารางเมตร  และจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.6 แสนตารางเมตรภายในสิ้นปีนี้ 

ก็ยังไม่แน่นัก ว่า คนค้าปลีกจะรู้จักเขามากขึ้นแค่ไหน !

ทว่า เรื่องที่แปลกยิ่งกว่านั้น ก็คือ   เส้นทาง “ข้ามห้วย”ของนพพร จากอดีตวิศวกรในบริษัท เอสซีที คอมพิวเตอร์ ในเครือปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ซึ่งปิดตัวเองลงไปในปี 2533  แล้วกลับมาสร้างอาณาจักรค้าปลีกที่พุ่งทะยานเหมือนกับติดจรวด

ซ้ำยังเสกให้ “สยามฟิวเจอร์ฯ”กลายเป็น “หุ้นบลูชิพ” ในชื่อ “SF” หลังจากที่นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่  แม้แต่"วิชา พูลวรลักษณ์" ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด ยังเข้ามาขอร่วมทุน 25%   เพื่อ “ติดปีก”ให้กับธุรกิจโรงหนังในเครือ 

นพพรทำได้อย่างไร............? 

การ “เจียรนัย”ของจัสโก้

ผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต ที่เป็น “ตำนาน” หลายคนในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว เทียม โชควัฒนา  ผู้ก่อตั้งอาณาจักรสหพัฒน์ ,วันชัย จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการ เซ็นทรัล กรุ๊ป  ,เจริญ สิริวัฒนภักดี แม้กระทั่ง ตัน ภาสกรนที ประธานโออิชิ กรุ๊ป  ก็ยังเชื่อว่า คนเราจะยิ่งใหญ่ได้ นอกจาก “เก่ง” แล้ว ยังต้องบวก “เฮง” ด้วย 

หากเราจะตีความหมายของคำว่า เฮง คือ โชคดี และ  “โชคดี”ที่ว่า คือ “โอกาส”ซึ่งจะนำไปสู่ จุดเปลี่ยนที่สามารถ “พลิกชะตาชีวิต”ได้   ปัญหาอยู่ที่ว่า เมื่อคนเรามีโอกาสแล้ว จะสามารถคว้ามาได้แค่ไหน

นพพร ทายาทรุ่นที่ 4  ของ “เสียน  วิฑูรชาติ” เจ้าของตลาดสดเก่าแก่มีนบุรี ก็เช่นกัน เขาไม่ยอมปล่อยโอกาสทองที่เกิดขึ้นให้หลุดมือไป..........

“มันเป็นเรื่องบังเอิญ เนื่องจากที่บ้านของคุณนพพร ทำธุรกิจให้เช่าที่อยู่แล้ว บริษัทสยามจัสโก้ ของญี่ปุ่น ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาสำรวจ เขาต้องการที่ดินมีนบุรีในชุมชน จะเปิดซูเปอร์มาร์เก็ต แถวนั้นก็ที่ของคุณปู่นพพรทั้งนั้น เขาก็เลยมาติดต่อ”  สมนึก  พจน์เกษมสิน กรรมการผู้จัดการ บมจ.สยามฟิวเจอร์ฯ มือขวาคนสำคัญของนพพร เปิดเผยเรื่องนี้กับ”บิสิเนสไทย”

นพพร เสนอตัวเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยใช้ที่ดินซึ่งเป็นบ้านเดิมของตระกูล ให้จัสโก้เช่าระยะยาวแทนที่จะซื้อขาด  ปรากฏว่าโปรเจ็คแรกระหว่างนพพร กับ จัสโก้ ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

ทำให้ จัสโก้ สนใจที่จะร่วมลงทุนต่อ  เขาจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษา “พงศ์กิจ สุทธพงศ์”  อดีต ริจินัลเมเนเจอร์ของโนเกีย ที่สิงคโปร์ และรักษาการประธานของไออีซี ผู้ที่นำเอาโนเกียมาจำหน่ายในไทยเป็นคนแรก ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่ปูนซิเมนต์ไทย 

และพงศ์กิจ เห็นว่า นี่คือ “โอกาส”ทางธุรกิจ  ถ้าหากทำให้ญี่ปุ่นยอมรับได้ เท่ากับว่า ก็จะยอมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับเราไปจนวันตาย
สมนึกบอก  นพพรเคยกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า  "นี่เป็นเรื่องโชคดีอีกอย่างเหมือนกัน บางคนบอกว่า ต้องทำได้ กับต้องได้ทำ ถ้าได้ทำ แต่ทำไม่ได้ ก็ไม่สำเร็จ หรือทำได้ แต่ไม่ได้ทำก็ไม่ประสบความสำเร็จ ผมโชคดีที่ทำได้ และได้ทำทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน"

"อีกอย่างผมว่าญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าธุรกิจที่แปลก คือตอนเริ่มติดต่อ ยากสุดขีด กว่าจะเซ็นสัญญา กว่าจะอนุมัติ นานมาก แต่ถ้าเขาเริ่มแล้ว เขาลุยไปข้างหน้าอย่างเดียว ถ้าเขาคิดจะคบแล้ว เขาคบยาว เป็นคู่ค้าระยะยาวแน่นอน”

จากนั้น “นพพร” จึงแยกตัวออกมาจากครอบครัว ตั้ง SF ร่วมกับรุ่นพี่...

สยามฟิวเจอร์ฯ ก่อตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2537 โดยมี “พงศ์กิจ เข้าร่วมบุกเบิกธุรกิจ ด้วยทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจด้านการพัฒนาและบริหารศูนย์การค้า ประเภท ศูนย์การค้าแบบเปิด โดยมี “นพพร” เป็นประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร

แต่นั้นมาจัสโก้ก็ร่วมกับSF ขยายสาขาอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้าชุมชนบางบอน,ประชาอุทิศ,สุขาภิบาล 3,สุขุมวิท 71 รวมถึงการเปิดร้านบีควิกอีกกว่า 10 แห่ง 

จากชื่อเสียงที่สั่งสมกับจัสโก้  ทำให้เซยู ยักษ์ค้าปลีกญี่ปุ่นอีกราย ติดต่อเข้ามาเพื่อให้สยามฟิวเจอร์ฯ มาช่วยขยายสาขาของเซยูอีก 3 แห่ง ก่อนที่จะปิดตัวเองลงไป เนื่องจากบริษัทแม่ในญี่ปุ่น ถูกวอลมาร์ทเทคโอเวอร์ ต่อมาภายหลังนพพรได้นำท็อปส์เข้ามาแทนที่ และประสบความสำเร็จยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากคนรู้จักมากกว่า

หลังจากนั้น เขาก็ตัดสินใจนำสยามฟิวเจอร์ฯเข้าตลาดหลักทรัพย์ใหม่ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม  2545 และใช้เวลาเพียง 1 ปี ก็สามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ใหญ่ได้
“คุณนพพร คงเห็นว่าเป็นธุรกิจที่กินยาว เพราะการสร้างศูนย์หนึ่ง มาอีกศูนย์หนึ่ง มีระยะเวลาเช่าที่ถึง  30 ปี แสดงว่ามันมี  Long-term income ก็เลยไปชวนคุณอรนพ จันทรประภา ซึ่งเป็นเจ้านายเก่า สมัยอยู่ซีเมนต์ไทย และยังเป็นเจ้านายเก่าของผมด้วย แล้วบอกว่า มาช่วยให้บริษัทนี้เข้าตลาดหลักทรัพย์ให้หน่อย  ซึ่งผมก็เลยเข้ามาช่วยในช่วงนี้เอง” สมนึกเล่า

SF มีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 535 ล้านบาท  มีพื้นที่ค้าปลีกทั้งสิ้น 1.88 แสนตารางเมตร จากเดิมที่มีพื้นที่เพียง 3 หมื่นตารางเมตรก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์

“นับตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ปี 45 จนถึงปี 50 สยามฟิวเจอร์ ฯโตประมาณ 6 เท่าตัว ปีหนึ่งๆโตมากกว่า 50% หรือ โดยเฉพาะปีที่แล้ว เราโตขึ้น 100% ซึ่งอาจจะเป็นเพราะฐานมันต่ำ แต่เราก็ขยายตัวได้เร็วมาก ต้นเดือนหน้าเราจะเพิ่ม 2.1 แสนตารางเมตร จากสาขาใหม่พัทยา  และจะมีโปรเจคใหม่อีก 7.5 หมื่นตารางเมตร  ผมคาดว่า ภายในสิ้นปีนี้เราจะมีพื้นที่ค้าปลีกเพิ่มขึ้นเป็น 2.65 แสนตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 40%” กรรมการผู้จัดการ SF ระบุ
“เวทมนต์”เสกเงิน

การแตกตัวอย่างรวดเร็วของศูนย์การค้าเปิดในรูปแบบ “คอมมูนิตี้ มอลล์” ศูนย์แล้วศูนย์เล่า ทั้งที่สยามฟิวเจอร์ เพิ่งเปิดดำเนินการก่อน วิกฤติค่าเงินบาทในปี 40 เพียง 3 ปี
 
นพพรเอาเงินมาจากที่ไหน ?

แม้เขาจะเป็นหลานชายเจ้าของตลาดสดมีนบุรี และครอบครองที่ดินเปล่าในละแวกนั้นอยู่มากพอควร แต่ก็ไม่น่าจะเป็นทุนเพียงพอ ในห้วงที่สินทรัพย์ทุกอย่างในเมืองไทยมีราคาตกต่ำ กระทั่งคอนเนกชันจากยักษ์ค้าปลีกญี่ปุ่น อย่างจัสโก้ เพียงรายเดียว ก็ไม่น่าจะมีแรงส่งให้ SF พุ่งทะยานไปไกลได้ขนาดนั้น เพราะแต่ละโครงการมูลอย่างต่ำๆ 500 ล้านบาทขึ้นไปทั้งสิ้น 
เขาใช้เวทมนต์ หรือ คาถาธุรกิจ บทใด จึงถักทอเครือข่ายของ SF ให้เป็นปึกแผ่น และมี Long-term income มากขนาดนี้!

“คุณนพพรเอาเงินมาจากไหนหรือ ...?” มือขวาของนพพร  ทวนคำถาม เมื่อ “บิสิเนสไทย” ตั้งข้อสังเกตถึงประเด็นดังกล่าว 

“ผมพูดอย่างนี้ดีกว่า  พวกเราเช่าที่ ไม่ได้ซื้อที่  ต้นทุนในการเช่าที่ ถูกกว่าการซื้อที่มาก คิดเป็นคอร์ส ใช้แค่ 10% สำหรับการซื้อที่ แต่ค่าก่อสร้างพอๆกัน ตอนนี้ถ้าคิดตารางเมตรประมาณ 1.5 -2.5 หมื่นบาท แล้วแต่รูปแบบก่อสร้าง แต่เวลาสร้างจะให้เซ้งให้เช่ายาว” สมนึกแจกแจง 

เขาอธิบายต่อว่า “เช่น โครงการหนึ่งเช่าที่มา 30 ปี ใช้เงินลงทุน สมมุติรวมค่าที่กับค่าก่อสร้างรวม 100 ล้านบาท เราเก็บเงินสดลูกค้าปล่อยเซ้ง 60 ล้านบาท แล้วอีก 40% จึงจะใช้เงินลงทุน แต่เงินลงทุนของเราก็กู้แบงก์มาอีก แบงก์ก็พร้อมที่จะให้ เพราะมองว่า 60% เราปล่อยเซ้งไปแล้ว เขาเลยมีความเสี่ยงต่ำ”

หากเป็นอย่างนี้จริง หมายความว่า การลงทุนของเขามีค่าเป็น “ศูนย์”บาท หรือ ไม่ต้องใช้เงินแม้แต่บาทเดียว !

ผู้สันทัดกรณีในแวดวงรายหนึ่ง เปรียบเทียบการสูตรการลงทุนของ SF คล้ายกับตระกูลอัมพุช ผู้บริหารเดอะมอลล์กรุ๊ป กับโปรเจคศูนย์การค้าเมกะมอลล์ ที่มักจะปล่อยเซ้งระยะยาวกับผู้เช่า

“แนวคิดของเดอะมอลล์ โครงการใช้เงินลงทุนเท่าไร ปล่อยเซ้งหมดเลย แต่คำว่า  “เซ้งหมดเลย” ไม่ได้หมายความว่า ปล่อยพื้นที่หมดเลยนะ แต่หมายความว่า เซ้งให้ได้เงินลงทุนของโครงการนั้นๆ ซึ่งเขาไม่ต้องใช้เงินลงทุนเลย อาจจะมีพื้นที่เหลือบ้าง ที่เขาจะปล่อยเช่าระยะสั้น”
ขณะเซ็นทรัล จะแตกต่างออกไป พวกเขาไม่ชอบให้เซ้ง ชอบลงทุนเองแล้วปล่อยให้เช่าระยะสั้นทีหลัง เพราะเซ็นทรัล มี “แม่เหล็ก” ซึ่งเป็นกิจการในเครือ เช่น ดีพาร์ทเมนสโตร์, เพาเวอร์บาย, ซูเปอร์สปอร์ต ฯลฯ เป็นตัวดึงคนเข้าห้าง เพื่อให้ลูกห้องอยู่ได้ แต่ของเดอะมอลล์มีน้อยกว่า ขณะที่สยามฟิวเจอร์ฯไม่มีเลย   

อย่างไรก็ตาม สมคิด ยอมรับว่า โมเดลธุรกิจดังกล่าว ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

“ข้อดีเงินลงทุนต่ำ คือ เอาเงินของชาวบ้านเขามาลงทุนก่อน ข้อเสียคือ ค่าเช่าต่อเดือนต่ำ จะได้น้อยลง เพราะการที่ผมเอาค่าห้องมาให้คุณเซ้ง มันก็เหมือนกับเอาเงินค่าเช่าไปล่วงหน้าแล้วส่วนหนึ่ง”
   
เขายกตัวอย่างว่า สมมุติเช่า 1,000 บาทต่อ 30 ปี ก็เหมือนกับเอาค่าเช่าคูณต่อเดือนไปในระยะเวลา 30 ปี แล้วขึ้น 15% ทุก 3 ปี แต่ก็ต้องมีส่วนลดประมาณ 20-30%ด้วย เพื่อสร้างแรงจูงใจ  (ไม่รวมค่าบริหารศูนย์เดือนละ 200-300 บาท) หากผู้มาเช่ายอมจ่าย เพราะส่วนลด จากเดิมแสนหนึ่ง ได้สิทธิ 30 ปี แต่ได้รับส่วนลดเหลือ 80,000 บาท ในแง่ของภาพของ SF ถือว่าปิดความเสี่ยงว่าลูกห้องจะคงอยู่ตลอดไปจนครบสัญญา 

แต่ข้อเสียคือกำไรจะได้ต่ำ คือ หากเทียบผลตอบแทนในแต่ละปี กับวิธีการลงทุนเองแล้วปล่อยเช่าระยะสั้น ทีมบริหารจะต้องบริหารระมัดระวังการบริหารในเรื่องนี้ให้เกิดความสมดุลด้วย เนื่องจาก SF อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ 

ปัจจุบันรายได้หลักๆ ของสยามฟิวเจอร์ฯมีอยู่ 2 ทาง 1.ค่าบริหารต่อศูนย์ คือ เดือนละ 200 บาท 2.รายได้จากการปล่อยเช่าระยะสั้น มีแบบ 3 ปี ,ปีต่อปี และ 3+3 ปี ส่วนใหญ่จะเป็นพวกแบรนด์เนม 

“ส่วน 60% ที่ผมเซ้งไป นั่นคือ เงินลงทุนนะ ส่วนพื้นที่นะ เซ้งไปแค่ 40-50% เท่านั้น ยังเหลืออีก 50-60% ที่จะปล่อยระยะสั้นๆ นี่คือรายได้หลักของเรา” กรรมการผู้จัดการ SF ขยายความ

ซูเปอร์มาร์เก็ต กุญแจแห่งความสำเร็จ
สมคิด กล่าวต่อว่า เคล็ดลับของ SF ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ก็คือ การเลือก และ สร้าง"แม่เหล็ก" เพื่อดึงดูดคนเข้าศูนย์ !

“สูตรของสยามฟิวเจอร์ คนที่จะเป็นแม่เหล็กของเรา เรียกว่า แองเคิ้ล จะต้องเซ้งเท่านั้น เช่าระยะสั้นไม่มี ซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่กับผมเซ้งหมด เช่น  บิ๊กซี คาร์ฟูร์ จัสโก้ วิลล่า โลตัส เซ้งกับเราหมด ที่สำคัญจะต้องเลือกแบรนด์ที่แข็งแรง เหมาะสมกับย่านนั้น ถ้าเป็นที่ทองหล่อ ร้านกาแฟต้องเป็นสตาร์บัคส์   หรือ สุขา 3  แล้วนำวิลล่า ซูเปอร์มาร์เก็ตไปตั้งอาจจะเจ๊ง ต้องเลือกให้เหมาะสมด้วย ”

ปัจจัยต่อไป ที่ทำให้ SF ประสบความสำเร็จ  มือขวาของนพพร  ฟันธง อย่างมั่นใจว่าคือ   “รูปแบบของศูนย์การค้า”

“รูปแบบของเราคือศูนย์การค้าเปิด หรือ  ศูนย์การค้าชุมชน (Neighborhood Shopping Center) เรานำรูปแบบจากต่างประเทศเข้ามา ซึ่งเป็นเทรนด์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับไลฟสไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไปนิยมช้อปปิ้งใกล้บ้าน ศูนย์การค้าประเภทนี้ 1-2 วันไปทีหนึ่ง จากสมัยก่อนที่จะไปซื้อของสัปดาห์ละครั้งกับไฮเปอร์มาร์เก็ต หรือ ศูนย์การค้าแบบปิด”

โมเดลการดำเนินธุรกิจ คือการ นำตลาดสดหรือร้านโชวห่วยตามตึกแถวเดิมมาจัดระบบใหม่โดยมีมืออาชีพเข้ามาบริหารพื้นที่ หมายถึงมีซูเปอร์มาร์เก็ตเข้ามาแทนที่ตลาดสดซึ่งเป็นที่นิยมกันอย่างมากในอเมริกาและยุโรป

“คุณนพพร เขาไม่มีชื่อเสียง  แต่ที่เราพัฒนาศูนย์เราทำถูกต้องตามคอนเซ็ปต์ ตามตำราทุกอย่าง เราเป็นสมาชิกของICSC  สภาศูนย์การค้าโลกของอเมริกัน เขามีการจัดประชุมปีหลายๆครั้ง ก็ได้ความรู้มาจากตรงนี้ ” 

สาเหตุที่ทำให้นพพรเกิดความมั่นใจ เนื่องจากการขยายตัวศูนย์การค้าแบบเปิดมีอย่างต่อเนื่องโดยจากสถิติของสภาศูนย์ การค้าระหว่างประเทศ (ICSC) พบว่าจาก ศูนย์การค้าทั้งหมด 45,721 แห่งในอเมริกา 95% เป็นศูนย์การค้าแบบเปิด
กระนั้นศูนย์การค้าชุมชน  หรือบางครั้งนิยมเรียกว่า คอมมูนิตี้มอลล์ ในเมืองไทยไม่ใช่รูปแบบการดำเนินกิจการใหม่เสียทีเดียว ก่อนหน้านี้ก็มีหลายกลุ่ม ที่ชิมลางในธุรกิจนี้ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มสยามพรีเมียร์และกลุ่มเฟิสท์แปซิฟิค แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากไม่มีใครคิดที่จะนำ “ซูเปอร์มาร์เก็ต”มาเป็นแม่เหล็ก เพราะช่วงนั้นซูเปอร์มาร์เก็ตส่วนใหญ่ตั้งอยู่บริเวณชั้นใต้ดินหรือชั้นแรกภายในห้างสรรพสินค้า

“ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดกลางที่เป็นตัวดึงดูด "ผู้เช่าร่วม" ซึ่งทฤษฎีนี้เป็นของต่างประเทศใช้ได้ผลมาแล้วกับศูนย์การค้าขนาดกลางและเล็กโดยเฉพาะ "จัสโก้" "ท็อปส์" และ "บี-ควิก" ที่จับมือกันมาตั้งแต่เปิดโครงการแรกๆ”

ธุรกิจพัฒนาคอมมูนิตี้ มอลล์ ในยุคนี้สำคัญคือต้องสามารถตอบสนองชีวิตประจำวันของผู้บริโภคได้ หมายถึงจะต้องมีบริการต่างๆ แบบครบวงจร คือมีทั้ง ซูเปอร์มาร์เก็ต บริการธนาคารไปรษณีย์ คลินิก ร้านทำผม ร้านขายยารวมถึงโรงเรียนสอนดนตรี ทำให้มีกราฟฟิกที่สูงกว่าห้างสรรพสินค้า

สำหรับเมืองไทยนั้น "ศูนย์การค้ามาบุญครองถือว่าเป็นผู้นำทฤษฎีนี้มาใช้เป็นรายแรก โดยชูศูนย์อาหาร ศูนย์เฟอร์นิเจอร์และเอ็มบีเคฮอลล์เป็นสิ่งดึงดูดใจผู้เช่าพื้นที่ร่วม ถือว่าประสบความสำเร็จ

ปัจจุบันSF มีรูปแบบศูนย์อยู่ด้วยกันทั้งหมด 6 รูป  1.ศูนย์การค้าชุมชนที่ตั้งอยู่รอบนอกเมือง ตามเขตชุมชนหนาแน่น ตามบ้านจัดสรร จะแทนตลาดสด มีพื้นที่ ประมาณ 5,000- 20,000 ตารางเมตร พื้นที่ 4-10 ไร่ มีซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นแม่เหล็ก

2.ไลฟไสตล์เซ็นเตอร์พื้นที่ตั้งแต่ 5,000-20,000 ตารางเมตร ขนาดกลางถึง 50,000 ตารางเมตร ซึ่งคือ คอมมูนิตี้มอลล์นั่นเอง เพียงแต่ยกระดับขึ้นมานิดหน่อย ทั้งรูปแบบของศูนย์ ที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ทื่อๆเหมือนชานเมือง มีต้นไม้ร่มรื่นมีน้ำพุ  มีร้านอาหารมากหน่อย มีเอาท์ดอร์ซิทติ้ง เช่น ที่เจอเวนิว ที่ทองหล่อ เป็นต้น
3. เพาเวอร์เซ็นเตอร์ ที่เอกมัย กับเพชรเกษม อะไรก็ตามที่มีแองเคิลมากกว่า 1 รายเราเรียก เพาเวอร์เซ็นเตอร์ เช่น ที่เพชรเกษมมี 4 กล่อง เป็นอินเด็กซ์ มี โฮมเวิร์ค  มีเมเจอร์ บิ๊กซี อินเด็กซ์ คือ ทุกตัวจะมีแรงในการดึงคนเข้ามาโดยไม่อิงตัวอื่น หรือ ไม่พึ่งแม่เหล็กตัวอื่น ใช้พื้นที่ประมาณ 4 .5 หมื่นตารางเมตร
 
4. คอนวิเนียนเซ็นเตอร์ เทสโก้ เอ็กเพรส, เซเว่นอีเลฟเว่น 5.ร้านบริการเฉพาะอย่าง อาทิ บีควิก ทั้ง 14 สาขา 6. เอ็นเตอร์เทนเมนท์เซ็นเตอร์   เป็นศูนย์บันเทิงในเมือง คือ ที่เอสพลานาด มีโรงละคร มีไอซ์สเก็ต มีร้านอาหาร  จะมีแห่งเดียงในกรุงเทพ เพราะเป็นศูนย์การค้าในลักษณะเดสเนชัน
ยุทธศาสตร์ศาสตร์ 5 ปีSF
ปัจจุบัน กลุ่มเซ็นทรัล กรุ๊ป คือ เจ้าแห่ง “แลนด์ลอร์ด”ค้าปลีกอันดับ 1 ของเมืองไทย ที่ครอบครองอาณาจักรศูนย์การค้า และกิจการค้าปลีกที่กินอาณาเขตกว่า 8 แสนตารางเมตร  ส่วนอันดับ 2 คือ เดอะมอลล์ กรุ๊ป คือ ยักษ์เมกะสโตร์ไฮเอ็น ที่สร้างสีสันฉูดฉาด ไว้กับโครงการอย่าง สยามพารากอน , ดิเอ็มโพเรียม  ด้วยจำนวนพื้นที่ค้าปลีกประมาณ 6 แสนตารางเมตร

ขณะที่อันดับ 3 นั้นดูเหมือนว่า ณ สิ้นปีนี้ สยามฟิวเจอร์ จะผงาดขึ้นมา แซงทั้งมาบุญครองและสยามเซ็นเตอร์ ด้วยจำนวนพื้นที่ 2.6 แสนตารางเมตร

“ อีก 5 ปีนับจากนี้ จะเพิ่มเป็นอีกเท่าตัวคือประมาณ 5.2 แสนตารางเมตร ถ้าเป็นจำนวนศูนย์วันนี้มี 26ศูนย์ เราจะเพิ่มอีกปีละ 5 ศูนย์ ถ้าสิ้นปี 2555  ก็จะมีประมาณ 46 ศูนย์ เกือบ 50 ศูนย์แล้วนะ” กรรมการผู้จัดการ SF บอกถึงยุทธศาสตร์ 5 ปีของบริษัท

ส่วนแผนงานในปีนี้ SF จะลงทุนประมาณ 2 พันล้าน เน้นพัฒนาห้างค้าปลีกในรูปแบบไลฟ์สไตส์เซ็นเตอร์ขนาดใหญ่มากขึ้น ทั้งหมด 5 แห่ง คือ เสนามาสเตอร์แพลน, นวมินทร์ภายใต้ชื่อ เสนาอเวนิว, ปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา, พัทยา และเมเจอร์ อะเวนิว รัชโยธิน  คาดว่าจะส่งผลให้รายได้รวมของบริษัทฯเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 20%
"เราจะขยายศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์เซ็นเตอร์ 2-3 แห่ง/ปี ส่วนโมเดลธุรกิจอื่น อาทิเช่น เพาเวอร์เซ็นเตอร์ มีแผนขยายปีละ 1 โครงการ คาดว่าจะมีพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 3.7 แสน ตร.ม. ในปีหน้า ส่วนผลประกอบการครึ่งปีแรกมีรายได้รวม 1,000 ล้านบาท และทั้งปีคาดว่าจะทำได้ 2,000 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีที่ผ่านมา ถือว่ามีอัตรารายได้เป็นไปตามที่คาดเอาไว้ โดยมียอดความถี่ในการซื้อของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 10% ”        
  
สำหรับปีหน้าจะเปิดตัว โครงการลาดพร้าว และรูปแบบเพาเวอร์เซ็นเตอร์ เป็นโครงการขนาดใหญ่ มีแผนพัฒนาโครงการเอกมัย-รามอินทรา และย่านเกษตร-นวมินทร์ ที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 100 ไร่ แบ่งการพัฒนาเป็น 2 เฟส เป็นไลฟ์สไตล์เซ็นเตอร์ และเพาเวอร์เซ็นเตอร์           

ทั้งนี้ โครงการเสนามาสเตอร์ แพลน ที่ร่วมพัฒนากับกลุ่มทีซีซีแลนด์ ของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี บนเนื้อที่ 320 ไร่ ซึ่งโครงการดังกล่าวมีพื้นที่พัฒนาเฟสแรก 16 ไร่ มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาทถือเป็นโครงการใหญ่ที่สามารถพัฒนาต่อเนื่องได้ 6 เฟส คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 2 ปี 2551

นอกเหนือจากนี้ SF ยังมีแผนที่จะเปิดศูนย์การค้าในรูปแบบใหม่ คือ Auto Mall สำหรับธุรกิจรถยนต์ ให้เช่าทำโชว์รูม และ  Premium Outlet Centre แหล่งชอปปิ้งขนาดใหญ่รองรับกำลังซื้อของชุมชน
 
เขา อธิบายว่า แฟคเตอรี่ เอาเลต เซ็นเตอร์ เป็นรูปแบบใหม่  ไม่เหมือนกับ  กับ ร้าน Outlet ที่เคยมีในเมืองไทยอย่าง  ชะอำ หรือ ปากช่อง เพราะแบรนด์เนมที่วางขายเป็นแบรนด์โลคัล แต่คอนเซ็ปต์ SF จะต้องเป็นแบรนด์จากต่างประเทศจริงๆมาลดราคา

คาดว่าต้องใช้พื้นที่ประมาณ 100 ไร่  ตัวศูนย์ใช้พื้นที่ประมาณแสนตารางเมตรสร้างชั้นเดียว ทำเลที่มองในขณะนี้ก็มี โปรเจคเสนาที่กำลังทำกับคุณเจริญ  กับแถวบางนาตราด

“ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับเจ้าของไลเซนส์ คือกลุ่ม  เชลซี  ในเครือ ไชนอน พร็อพเพอร์ตี้ ของคุณพรทิพย์ นาคหิรัญกนก  หรือ  คุณปุ๋ย ซึ่งเขาดูแลแบรนด์อเมริกันในสังกัดกว่า 30 แบรนด์ เช่น โปโล , ลีวายส์”
ส่วน Auto Mall รูปแบบก็คือ ศูนย์การค้าที่รวมรถยนต์ทุกยี่ห้อ กึ่งๆคล้ายๆกับมอเตอร์โชว์ แต่จะเป็นมอเตอร์โชว์ทั้งปี ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ  ที่เมืองนอกประสบความสำเร็จมาก และต้องเป็นรถใหม่ป้ายแดง คนที่จะไปซื้อรถ จะได้ไม่ต้องเดินทางไปดูยี่ห้อโน้นที ยี่ห้อนี้ที แต่มาที่ศูนย์นี้ เดินช็อปเลย จะเอายี่ห้อไหน นี่เป็นเทรนด์มาจากเมืองนอก

“เรามองไปที่เกษตร-นวมินทร์  แต่ตอนนี้ยังไม่ได้คุยกับค่ายรถยนต์ เพียงแต่ทำคอนเซ็ปต์ไปให้คุณเจริญเขาดู  เขาเป็นเจ้าของที่ เส้นเกษตรตัดใหม่ 300กว่าไร่ พิจารณา”

สำหรับโอกาสในการเติบโตของสยามฟิวเจอร์ยังมีทำเลเป้าหมายที่ต้องการเช่าขนาดพื้นที่ 4-20 ไร่ ยังมีเหลือให้บริษัทเช่าทำโครงการอีกมากไม่ว่าจะเป็นในย่านสาทร พระราม 4 และสุขุมวิทขณะที่ ในต่างจังหวัดมีแผนจะรุกไปในเมืองท่องเที่ยว เช่น เชียงใหม่ และ ภูเก็ต เป็นต้น

ถึงบรรทัดนี้ หากจะให้เราตั้งคำจำกัดความถึงตัวตน และเส้นทางธุรกิจของ “นพพร   วิฑูรชาติ” ที่นำพาธุรกิจดีเวลลอปเปอร์ เล็กๆ ซึ่งไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน อย่าง SF มาไกลได้ถึงเพียงนี้   ด้วยเงินทุนก้อนแรกเพียง  10 ล้านบาท  ไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่าคำว่า “พ่อมดคอมมูนิตี้มอลล์”