Social Media

ยาฮู  เฟซบุ๊ค wordpress RSS มายสเปซ ยูทูป Tumblr กูเกิล+ Flickr Reddit Twitter Retail Academy

หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การแข่งขันในธุรกิจร้านสะดวกซื้อ




ร้านค้าปลีกสะดวกซื้อ (Convenience Store) ยังคงเป็นรูปแบบร้านค้าปลีกสมัยใหม่ไซส์เล็กที่ผู้ประกอบการต่างให้ความสนใจและรุกขยายสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้จากปัจจุบัน มีผู้ประกอบการรายใหม่ หรือผู้ประกอบการค้าปลีกในรูปแบบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ซัพพลายเออร์สินค้าอุปโภคบริโภคก็หันมารุกขยายตลาดค้าปลีกขนาดเล็กกันมากขึ้น โดยเฉพาะการรุกขยายสาขาไปยังต่างจังหวัด ซึ่งสอดคล้องไปกับการขยายตัวของความเป็นเมืองที่มุ่งออกสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น (Urbanization) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อพฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ทั้งนี้ คาดว่า ในปี 2556 มูลค่าตลาดร้านค้าปลีกสะดวกซื้อจะขยายตัวอยู่ที่ประมาณร้อยละ 15-20 (YoY) และจัดเป็นร้านค้าปลีกที่ยังคงมีการเติบโตอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับค้าปลีกรูปแบบอื่นๆ


เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านกฎหมายผังเมืองโดยเฉพาะการกำหนดโซนนิ่งในการขยายสาขาขนาดใหญ่ในรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต ในปี 2555 ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ Multi Format โดยการพัฒนารูปแบบโครงการที่หลากหลายทั้งที่เป็น ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว รูปแบบผสมผสานระหว่างห้างค้าปลีกและศูนย์การค้าขนาดย่อม และ รูปแบบร้านค้าขนาดเล็กในลักษณะใกล้เคียงกับร้านสะดวกซื้อ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการรุกเข้าสู่ตลาด ในส่วนของกลยุทธ์เพื่อเพิ่มยอดขาย ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำตลาด จากที่เคยมุ่งเน้นแค่เรื่องราคาถูก โปรโมชั่นลดแลกแจกแถม และการจัดการตัวสินค้า เป็นการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้ใช้บริการโดยใช้โปรแกรมลูกค้าสัมพันธ์ผ่านบัตรสมาชิกและบัตรเครดิตของห้าง มีการแบ่งแยกกลุ่มของผู้ใช้บริการอย่างชัดเจน ทั้งกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับเรื่องราคา กลุ่มที่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม และกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการบริการ เพื่อที่จะบริหารลูกค้าที่มีความต้องการแตกต่างกันอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ยังมุ่งสร้างความมั่นใจในเรื่องคุณภาพ พร้อมทั้งการการันตีความพอใจ โดยการสื่อสารกับผู้บริโภคผ่านทางสื่อหลัก ทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และ Direct Mail เพื่อประชาสัมพันธ์โปรโมชั่นที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วจาการทำ Benchmark Campaign อย่างเข้มข้น 

นอกเหนือจากกลยุทธ์ดังกล่าว ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ยังเริ่มรุกสู่ตลาดในระดับบนกว่ากลุ่มผู้ใช้บริการห้างค้าปลีกขนาดใหญ่โดยการเปิดร้านค้าปลีกในรูปแบบ “เอ็กซ์ตร้า” ซึ่งมีการปรับปรุงทั้งในด้านภาพลักษณ์ คุณภาพของสินค้า และการให้บริการ เพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้บริการกลุ่มดังกล่าวที่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพระดับพรีเมี่ยม
  โดยภาพรวม ผู้ประกอบการกลุ่มห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ (Hypermarket) และร้านค้าปลีกซูเปอร์มาร์เก็ต ได้มุ่งเน้นการพัฒนาร้านค้าในขนาดเล็กลงในรูปแบบร้านสะดวกซื้อกึ่งซูเปอร์มาร์เก็ต หรือที่เรียกว่า ซูเปอร์คอนวีเนียนสโตร์ (Super Convenient Store) และร้านสะดวกซื้อ (Convenient Store) เช่น โลตัส เอ็กซ์เพรส (Lotus Express) มินิ บิ๊กซี (Mini BigC)  ท็อปส์ เดลี่ (Tops Daily) ซีพี ฟู้ด มาร์เก็ต (CP Food Market) และแม็กซ์แวลู (Max Value) โดยมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองหลักต่างๆ  เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคในย่านที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า และในชุมชนที่เกิดใหม่ ภายในปีที่ผ่านมา 

         ประกอบกับ ร้านค้าปลีกสะดวกซื้อ (Convenience Store) เดิม อย่าง เซเว่น อีเลฟเว่น(7-Eleven)
 ก็ปรับขนาดให้ใหญ่ขึ้น โดยเพิ่มไลน์เบเกอรี่ กาแฟสด เข้าไป รวมถึงแบรนด์รองอย่าง แฟมิลี่ มาร์ท (Family Mart ) ที่กลุ่มเซ็นทรัลได้เข้ามาซื้อหุ้นก็คงจะมีการปรับกลยุทธอย่างแน่นอน ส่วน 108 Shop ของกลุ่มสหพัฒน์ ก็ซื้อแบรนด์ Lawson แบรนด์ร้านสะดวกซื้ออันดับสองจากญี่ปุ่น โดยปรับร้าน 108 Shop เดิม เป็น ลอว์สัน 108 (Lawson 108 ) ทำให้ตลาดร้านสะดวกซื้อนั้นคึกคักขึ้นมาทันที

 แนวโน้มธุรกิจในอนาคตคาดว่าผู้ประกอบการกลุ่มนี้จะเริ่มเจาะตลาดหัวเมืองรองในต่างจังหวัดและมีการขยายสินค้าในกลุ่มอาหารมากขึ้น 


การตลาดและภาวะการแข่งขันของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ


ในปี 2555 ที่ผ่านมา มีหลากหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เริ่มตั้งแต่ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงจากวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปและสถานการณ์ทางการเงินในประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าและการผลิตของอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกหดตัวลง อย่างไรก็ดี การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนเพื่อเร่งฟื้นฟูความเสียหายในช่วงครึ่งแรกของปีเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยสนับสนุนให้อุปสงค์ภายในประเทศเติบโตดีขึ้น ทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถกลับสู่แนวโน้มปกติได้ในช่วงครึ่งหลังของปี รวมถึงสามารถรองรับความเสี่ยงและชดเชยผลกระทบจากภาคการส่งออกที่อ่อนแอลงได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนหลายด้านที่มีส่วนช่วยในการเพิ่มสภาพคล่องและกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศได้มากขึ้น อาทิ นโยบายของรัฐบาล ทั้งในส่วนของมาตรการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ มาตรการเพิ่มค่าตอบแทนข้าราชการ โครงการรับจํานําสินค่าเกษตร มาตรการภาษีสำหรับรถยนต์คันแรกและบ้านหลังแรก เป็นต้น

จากปัจจัยต่างๆ ที่ได้กล่าวมาในข้างต้น ล้วนสนับสนุนต่อการขยายตัวของภาคค้าปลีกในปี 2555 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประมาณการว่า ภาคค้าปลีกในปี 2555 มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณร้อยละ 7-8 และในปี 2556 คาดว่าตลาดค้าปลีกจะมีแนวโน้มการขยายตัวใกล้เคียงกับปี 2555 คือ ขยายตัวอยู่ที่ประมาณร้อยละ 6-8 โดยส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากการเตรียมความพร้อมเข้าสู่การเป็นสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เริ่มมีการร่วมทุนระหว่างผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศ และการร่วมทุนระหว่างผู้ประกอบการไทยด้วยกันเอง ในการขยายสาขาร้านค้าปลีกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะนำมาซึ่งการปรับปรุงและพัฒนากระบวนการดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางการแข่งขันภายในอุตสาหกรรม

นอกจากการร่วมทุนของผู้ค้าปลีกแล้ว ภายหลังการฟื้นฟูความเสียหายและชดเชยผลกระทบจากน้ำท่วม  ผู้ประกอบการค้าปลีกยังมีแผนลงทุนสร้างศูนย์กระจายสินค้าเพิ่มเติมเพื่อกระจายความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากประสบปัญหาน้ำท่วม การลงทุนเพื่อปรับปรุง พัฒนา และสร้างความทันสมัยให้กับสาขาเดิม รวมถึงการพัฒนารูปแบบร้านค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ส่งเสริมและกระตุ้นการขายในรูปแบบต่างๆ เพื่อดึงดูดผู้บริโภคและรักษาส่วนแบ่งตลาดเอาไว้ให้ได้มากที่สุด เช่น การสร้างความผูกพันและการซื้ออย่างต่อเนื่องผ่านบัตรสมาชิก การพัฒนาช่องทางการติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) และแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ (Mobile Application) เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริโภคในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร สินค้า และบริการ ผ่านช่องทางและเครื่องมือสมัยใหม่ที่สามารถตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่เริ่มขยายสู่วงกว้างมากขึ้น 

อย่างไรก็ตามร้านค้าปลีกสมัยใหม่ขนาดเล็กยังคงเป็นรูปแบบที่น่าจับตามอง เนื่องจากสามารถเข้าถึงชุมชนและลูกค้าได้ง่าย รวดเร็ว สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ได้แก่ หน่วยการบริโภคต่อครัวเรือนมีขนาดเล็กลงตามขนาดของครัวเรือนทั้งจากการที่ประชากรอาศัยอยู่คนเดียว และคู่สมรสที่ไม่มีบุตรเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคไม่สามารถซื้อสินค้าเก็บไว้ทีละมากๆ เนื่องจากอยู่อาศัยภายใต้พื้นที่จำกัด เช่น อาคารพาณิชย์ และคอนโดมิเนียม รวมถึงวิถีชีวิตที่มีความเป็นเมืองมากขึ้น เป็นผลให้พฤติกรรมการใช้ชีวิต และความต้องการของผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายและความรวดเร็ว ร้านค้าปลีกขนาดเล็กใกล้บ้านจึงเป็นทางเลือกที่สำคัญ โดยอาจมีการผสมผสานรูปแบบร้านค้ามาตรฐาน และปรับรูปแบบให้สอดคล้องความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น เช่น ร้านสะดวกซื้อกึ่ง
ซุปเปอร์มาร์เก็ต (Super-Convenience Store) ซึ่งเป็นร้านค้าขนาดเล็กที่ขายสินค้าในลักษณะเดียวกับร้าน
ซุปเปอร์มาร์เก็ต เน้นการจําหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าประเภทอาหารสด สำหรับร้าน 7-Eleven ยังคงมุ่งสู่การเป็นร้านอิ่มสะดวก (Convenience Food Store) โดยเน้นสินค้าอาหารพร้อมทานและสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในการดำรงชีวิต

ในปี 2555 มีจำนวนร้านค้าปลีกประเภทร้านสะดวกซื้อในลักษณะกลุ่มของร้านย่อยที่อยู่ภายใต้บริษัทเดียวกัน (Chain Store) เพิ่มขึ้น 967 สาขา ซึ่งในจำนวนนี้มาจากการขยายสาขาของร้าน 7-Eleven ถึง 546 สาขา แต่เนื่องจากผู้ประกอบการบางรายหยุดการดำเนินกิจการ ทำให้จำนวนร้านค้าปลีกโดยรวมลดลง 

ที่มา : 7-Eleven

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

รีวิว “ถนนเกษตร-นวมินทร์” คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์-คอมมูนิตี้มอลล์มาแรง


 "ถนนเกษตร-นวมินทร์" ยังเป็นทำเลฮอตฮิตสำหรับโครงการที่อยู่อาศัยชั้นดีที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน แม้จะเป็นทำเลที่บูมมานานหลายปีแต่ก็ยังมีโครงการระดับกลาง-บนใหม่ๆ เกิดขึ้นให้เลือกช็อปกันอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่แยกมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มุ่งหน้าถนนนวมินทร์ หรือถนนประเสริฐมนูญกิจ ไปชนวงแหวนรอบนอกตะวันออก นาทีนี้ถือเป็นถนนอีกเส้นหนึ่งของกรุงเทพฯ ที่มีการเติบโตเร็วไม่แพ้ทำเลอื่นโซนอื่นๆ ในแง่ของการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม ที่กำลังมาแรงสุดๆ คือ คอนโดมิเนียมและคอมมูนิตี้มอลล์
     "แม็กเน็ต" ของพื้นที่โซนนี้หนีไม่พ้นโครงข่ายสาธารณูปโภคที่เพียบพร้อม ครบครัน อีกแห่งหนึ่งของเมืองกรุง ล่าสุดในร่างผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3 ที่ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการ (บอร์ด) ได้มีการปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณถนนเกษตร-นวมินทร์ (ประเสริฐมนูญกิจ) ใหม่ที่จะทำให้สามารถพัฒนาที่ดินได้เต็มศักยภาพ โดยเปลี่ยนจากพื้นที่สีเหลืองที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย ย.4 เป็นพื้นที่สีแดงพาณิชยกรรม พ.1 ที่บริเวณจุดตัดระหว่างถนนเกษตร-นวมินทร์กับถนนเสนานิคม 1 เพื่อขยายการพัฒนาเชิงพาณิชยกรรม ซึ่งบริเวณนี้เป็นที่ดินของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เนื้อที่ร่วม 300 ไร่
     ทีมข่าวอสังหาริมทรัพย์ "ประชาชาติธุรกิจ" ลงพื้นที่สำรวจความเคลื่อนไหวการลงทุนในพื้นที่เพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลงล่าสุด พบว่า ตั้งแต่บริเวณแยกเกษตรฯ ช่วงต้นๆ มีการลงทุนใหม่ต่อเนื่อง โดยปรากฏการณ์ใหม่ที่เริ่มมีให้เห็นคือโครงการที่พัฒนาจะเป็นประเภทคอนโดฯ ผุดขึ้นเป็นระยะๆ  ตั้งแต่บริเวณแยกมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มุ่งหน้าไปชนวงแหวนรอบนอกตะวันออก โดยโครงการแรกที่ปักหมุดขึ้นโครงการล่าสุดในช่วงต้นๆ ของถนนเส้นนี้ เป็นของค่าย
     เพอร์เฟค พร็อพเพอร์ตี้ ขึ้นคอนโดฯ แนวคิด MOFF Design เป็นอาคารสูง 12 และ 17 ชั้น 1 อาคาร 2 ทาวเวอร์ เนื้อที่ 6 ไร่เศษ พื้นที่ใช้สอยประมาณ 24-47 ตารางเมตร ขนาด 1-2 ห้องนอน และ Duplex (MOFF Design) มูลค่าโครงการ 1,540  ล้านบาท มีจำนวนทั้งหมด 730 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.5-2.3 ล้านบาท
     เยื้องๆ เป็น 2 โครงการเก่าที่เปิดขายมาก่อนหน้าแล้ว ได้แก่ โครงการศุภาลัย ปาร์ค แยกเกษตร-นวมินทร์ เนื้อที่ประมาณ 15 ไร่เศษ สูง 26 ชั้น 2 อาคาร จำนวนรวม 1,480 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอย 35.5-84 ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท อยู่ติดกับโครงการเปรมสิริ บูติกพาร์ค ค่ายเปรมสิริ สูง 8 ชั้น 4 อาคาร จำนวน 800 ยูนิต ขนาด 32-35 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 1.5 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท
     บริเวณแยกวังหินด้านซ้ายมือที่มุ่งหน้าถนนลาดปลาเค้าเป็นที่ตั้งโครงการอารียา ทูบี ลาดปลาเค้า ทาวน์โฮมพร้อมอยู่ 3 ชั้น สไตล์ Modern Architecture เริ่มต้นที่ 3.89 ล้านบาท เนื้อที่ประมาณ 14 ไร่เศษ มีขนาดพื้นที่ใช้สอยประมาณ 180 ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 1,080 ล้านบาท พัฒนาโดยบริษัท เดอะ คูลสเปซ จำกัด ในเครืออารียา พร็อพเพอร์ตี้ เลยแยกไปหน่อยเป็นคอนโดฯ แต่งครบแบรนด์ พรีมิโอ บาย พรีเมี่ยม เพลส สไตล์ บูติก (Boutique) สูง 8 ชั้น จำนวน 1 อาคาร จำนวน 66 ยูนิต พื้นที่ใช้สอย 29-55 ตารางเมตร เคาะราคาขายเริ่มต้นที่ 1.39 ล้านบาท ของค่ายพรเจริญทรัพย์ พร็อพเพอร์ตี้


  บริเวณแยกเสนานิคมเป็นที่ตั้งโครงการบ้านหรูระดับไฮเอนด์ "เดอะรอยัล เรสซิเดนท์ เกษตร-นวมินทร์" ค่าย บริษัท ที.ซี.ซี. แคปปิตอล แลนด์ เนื้อที่ประมาณ 76 ไร่เศษ เนื้อที่ 700 ตารางเมตร ราคาขาย 40-120 ล้านบาท  บริเวณด้านหน้าโครงการเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ 2 โปรเจ็กต์รวด ได้แก่ 
     นวมินทร์ ซิตี้อเวนิว และนวมินทร์ เฟสติวัล วอร์ค พัฒนาโดย บมจ.สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ ตรงจุดนี้ในปัจจุบันถือว่าเป็นสถานที่แฮงเอาต์ที่ขึ้นชื่อมากบนถนนเส้นนี้ เพราะมีร้านอาหารแบรนด์ดังทั้งไทยและต่างประเทศมาให้บริการกันแบบครบวงจร
     ก่อนถึงจุดตัดทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ยังเป็นที่ตั้งของโมเดิร์นเทรดเฟอร์นิเจอร์ อินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ ดักกำลังซื้อลูกค้ากระเป๋าหนักอีก 1 โปรเจ็กต์ด้วย ถัดไปไม่ถึง 500 เมตรเป็นที่สร้างคอนโดฯ บ้านนวธารา เกษตร-นวมินทร์ อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เนื้อที่โครงการประมาณ 4,781 ตารางวา จำนวน 6 อาคาร สูง 8 ชั้น 1,019 ยูนิต ราคาขายเริ่มที่ 1.45 ล้านบาท ของค่ายบ้านราชประสงค์ ติดกันเป็นโปรเจ็กต์ของเมกะดีลเลอร์วัสดุก่อสร้างบิ๊กแบรนด์ "บุญถาวร" ต้นแบบโชว์รูมสีเขียวบนเนื้อที่ 60 ไร่ให้เป็นศูนย์รวมวัสดุแต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ภายใต้คอนเซ็ปต์โมเดิร์นไชนีส
     เมื่อมุ่งหน้าถึงจุดตัดแยกนวมินทร์ตรงไปเรื่อยๆ เป็นถนนตัดใหม่ที่สามารถเดินทางไปยังถนนวงแหวนรอบนอกฯ ได้สะดวกรวดเร็วมากๆ และเพิ่งเปิดให้สัญจรได้ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรียกว่าถนนกาญจนาภิเษก ระยะทางประมาณ 2-3 กิโลเมตร โดยภาพรวมการลงทุนในปัจจุบันเริ่มที่จะมีโครงการที่อยู่อาศัยและไลฟ์สไตล์มอลล์เข้าไปในพื้นที่บ้างแล้ว คือ ช็อกโกแลต วิลล์ สถานที่แฮงเอาต์แห่งใหม่ของคนเมืองสไตล์ยุโรป เพิ่งเปิดตัวช่วงปลายปี 2554 ที่ผ่านมา
     ค่ายณุศาศิริ ถือเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯ ปืนไวที่เข้าไปปักหมุดขึ้นคอนโดฯ เทรนด์ใหม่สไตล์รีสอร์ตรายแรก อยู่ห่างจากแยกนวมินทร์ประมาณ 1 กิโลเมตร ในชื่อ "พาร์ค เอ็กโซ" โครงการตั้งบนเนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ จำนวน 6 อาคาร สูง 8 ชั้น 1,296 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 33.50-58 ตารางเมตร เคาะราคาขายชิลชิล เริ่มต้นที่ 1.77 ล้านบาท มาพร้อมกับโปรโมชั่น จอง 4,900 บาท แถมทองคำน้ำหนัก 1 บาท
     "ศิริญา เทพเจริญ" รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานการตลาด บริษัท อั่งเปา แอสเสท รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท ณุศาศิริ บอกว่า ถนนตัดใหม่เกษตร-นวมินทร์ ตั้งแยกนวมินทร์ระยะประมาณ 2 กิโลเมตรเศษ หลังที่เปิดให้บริการเริ่มมีกลุ่มทุนเข้าไปลงทุนในพื้นที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ราคาที่ดินในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาพุ่งกระฉูดไปแล้วกว่า 100% เดิมราคาที่ดินดิบในย่านนี้ซื้อขายกันอยู่ที่ประมาณ 40,000 บาท/ตารางวา ปัจจุบันถีบตัวเพิ่มเป็น 70,000-80,000 บาท/ตารางวา
     สำหรับผู้ที่กำลังมองหาช่องทางการลงทุนในพื้นที่โซนนี้ หากมีข้อมูลและคิดโปรเจ็กต์ที่แตกต่างก็ไม่ยากที่จะเข้ามาลงทุนในย่านนี้


ที่มา : เส้นทางเศรษฐี
ทีมอสังหา ประชาชาติ
เล็งทำเลธุรกิจ
วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556


ฟุตเวิร์กแฟมิลี่มาร์ท



 "ทศ จิราธิวัฒน์"
 
     ปรากฏการณ์การเข้าซื้อหุ้นของสยามแฟมิลี่มาร์ทของกลุ่มเซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น (ซีอาร์ซี) นับว่าเป็นปรากฏการณ์ทางธุรกิจที่น่าสนใจอย่างมาก
     เพราะอย่างที่ทราบ แฟมิลี่มาร์ท เป็นธุรกิจค้าปลีกสัญชาติญี่ปุ่น ที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2535 มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ ประมาณ 746 สาขา
     คู่แข่งโดยตรงของแฟมิลี่มาร์ทคือ เซเว่นอีเลฟเว่น ของเครือซีพีกรุ๊ป ที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศประมาณ 6,000-7,000 สาขา
     นอกจากนั้น ในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกด้วยกัน ยังมีเทสโก้ โลตัส และเทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส และ 108 ช็อป ที่มาแย่งมาร์เก็ตแชร์โดยรวมของกลุ่มธุรกิจค้าปลีก
     แต่ถ้าจะมองในฐานะไฟติ้งแบรนด์ คงหนีไม่พ้นที่จะเปรียบมวยให้แฟมิลี่มาร์ท กับ เซเว่นอีเลฟเว่น เป็นคู่ชกกัน เพียงแต่น้ำหนักหมัด ประสบการณ์ในการชก คงต้องยอมรับว่า เซเว่นอีเลฟเว่น มีประสบการณ์พร้อมสรรพอยู่มาก
     คำถามจึงเกิดขึ้นว่า แล้วทำไมซีอาร์ซีถึงตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นของแฟมิลี่มาร์ท?
     มองเห็นโอกาสทางธุรกิจอะไรหรือ?
     "ทศ จิราธิวัฒน์" ผู้บริหารของซีอาร์ซี เคยพูดว่า ตอนนี้สยามแฟมิลี่มาร์ทมีเครือข่ายสาขาถึง 746 สาขาทั่วประเทศ มียอดขายรวมกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจค้าปลีกด้านอาหารของเซ็นทรัลรีเทลเติบโตขึ้นทันทีเกือบ 50%
     "ทั้งนี้ตั้งเป้าจะขยายให้ได้ถึง 1,500 สาขาภายใน 5 ปี และ 3,000 สาขาในอีก 10 ปี ประมาณการในอีก 2 ปีข้างหน้า ต้องใช้เงินลงทุน 2,000 ล้านบาท สำหรับเปิดสาขาใหม่ หรือปรับปรุงสาขาที่มีอยู่เดิม รวมถึงการขยายโครงสร้างพื้นฐานไอที และระบบโลจิสติกส์"
     "ดังนั้น การที่เราเข้าซื้อหุ้นของบริษัท สยามแฟมิลี่มาร์ท จำกัด จำนวน 50.29% จะส่งผลให้ซีอาร์ซีเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทสยามแฟมิลี่มาร์ท และกลยุทธ์ของสยามแฟมิลี่มาร์ทต่อไป จะเน้นสร้างแบรนด์แฟมิลี่มาร์ทให้แข็งแกร่งเพื่อเป็นอีกทางเลือกของผู้บริโภค และซัพพลายเออร์"
     "ทั้งยังเพิ่มผลิตภัณฑ์สินค้า และนำเสนอบริการรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างความหลากหลายให้กับลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหารพร้อมทาน หรือ Ready-to-Eat ที่จะเป็นสินค้าหลักช่วยดึงลูกค้าเข้ามาในร้าน นอกจากนั้น เรายังมุ่งมั่นที่จะยกระดับมาตรฐานของผลิตภัณฑ์"
     "โดยอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะ และนวัตกรรม จากแฟมิลี่มาร์ทของประเทศญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาให้สินค้า Ready-to-Eat ของแฟมิลี่มาร์ทโดดเด่น มีคุณภาพ มีรสชาติถูกปากคนไทย"
     "ขณะเดียวกัน เราจะปรับปรุงโฉมร้านแฟมิลี่มาร์ทใหม่ และทำให้ร้านเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากที่สุด การเปิดสาขาเป็นการลงทุนของบริษัทเป็นหลัก ใช้งบลงทุนเปิดสาขาใหม่แห่งละ 3 ล้านบาท สำหรับพื้นที่ประมาณ 100-150 ตารางเมตร ทั้งยังจะต้องผลักดันให้รายได้ของแฟมิลี่มาร์ทเติบโตปีละ 20-30% และคิดว่าภายในสิ้นปี 55 จะมีรายได้รวมประมาณ 12,000 ล้านบาท"
     นอกจากนั้น "ทศ" ยังกล่าวถึงธุรกิจในเครืออย่างร้านท็อปส์เดลี่ ที่ปัจจุบันมีอยู่ 119 สาขา จะปรับให้เป็นร้านแฟมิลี่มาร์ททั้งหมด และในอนาคตอาจนำแบรนด์ท็อปส์เดลี่ไปใช้ในธุรกิจค้าปลีกประเภทอื่นต่อไปซึ่งเป็นการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
     แต่กระนั้น ในมุมธุรกิจ หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าแฟมิลี่มาร์ท จะใช้กลยุทธ์อะไรไปแชร์ส่วนแบ่งทางการตลาดของเซเว่นอีเลฟเว่น เพราะกลยุทธ์หลักของซีพีกรุ๊ปคือครัวของโลกเขาผลิตอาหารเองระบบโลจิสติกส์ก็ดีสาขาก็มีจำนวนมากกว่าหลายเท่าตัวนัก
     ดังนั้น การที่แฟมิลี่มาร์ทจะขยายสาขาในอีก 5-10 ปีให้ได้ถึง 3,000 สาขา จึงอาจเป็นการแหย่หนวดเสือเซเว่นอีเลฟเว่นก็ได้ เพราะถึงตอนนั้น เซเว่นอีเลฟเว่นอาจขยายสาขาไปหลายหมื่นสาขาแล้วก็ได้
     ทั้งแผนธุรกิจของเซเว่นอีเลฟเว่น ยังวาดแผนที่จะบุกไปในตลาดเออีซีด้วย จึงทำให้หลายคนมองว่าเกมธุรกิจครั้งนี้ ซีอาร์ซีจะถือแฟมิลี่มาร์ทระยะยาวหรือไม่
     แต่กระนั้น เมื่อลองหันไปฟังเสียงของ "อุเอะดะ จุนจิ" ประธานกรรมการบริษัท แฟมิลี่มาร์ท จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) เขากลับมองว่า 20 ปีที่ผ่านมา แฟมิลี่มาร์ทประสบกับความยากลำบากในการทำธุรกิจไม่น้อย เราเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจหลายรอบ ช่วง 5 ปีก่อนบริษัทแม่ได้ส่งซีอีโอ และคณะผู้บริหารมากระตุ้นธุรกิจในไทย จนทำให้ผลประกอบการมีกำไรแล้ว
     "ต่อไปเป็นขั้นที่ 2 เราต้องการขยายธุรกิจแบบก้าวกระโดด จำเป็นต้องมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างซีอาร์ซี ที่มีความสามารถในการขยายสาขา การพัฒนาสินค้า และระบบซัพพลายเชนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการเติบโตของแฟมิลี่มาร์ทอย่างรวดเร็ว และมั่นคงในระยะยาว"
     "ดังนั้น หากพิจารณาสถานการณ์ค้าปลีกในไทย และภูมิภาคเอเชียพบว่าจำนวนประชากรที่ใช้บริการร้านสะดวกซื้อ 1 แห่ง ในญี่ปุ่นมีอัตราเฉลี่ย 2,800 คน/ร้าน ไต้หวัน, เกาหลี เฉลี่ย 2,500 คน/ร้าน ขณะที่ประเทศไทยสูงถึง 6,800 คน/ร้าน ข้อมูลตรงนี้สะท้อนถึงโอกาสทางการตลาดที่ร้านสะดวกซื้อจะเติบโตอีกมาก"
     "อีกอย่างบริษัทตั้งเป้าหมายขยายสาขาแฟมิลี่มาร์ทครบ 25,000 สาขาทั่วโลกภายในปี 2558 และเพิ่มเป็น 40,000 สาขาภายในปี 2563 ดังนั้น เมื่อเราจับมือกับซีอาร์ซีจึงเชื่อว่าแฟมิลี่มาร์ทจะบรรลุเป้าหมาย 25,000 สาขาเร็วกว่าที่กำหนด ส่วนการขยับขึ้นเป็น 40,000 สาขา ส่วนหนึ่งมาจากการขยายการลงทุนในประเทศจีน"
     "รวมถึงการไปเปิดสาขาแรกที่ประเทศอินโดนีเซีย รวมถึงฟิลิปปินส์, พม่า และอินเดีย เป็นลำดับต่อไป ผมจึงค่อนข้างเชื่อว่า นอกจากซีอาร์ซีจะมีจุดแข็งหลายประการ ธุรกิจยังค่อนข้างหลากหลาย จึงน่าจะเป็นคำตอบที่ทำให้แฟมิลี่มาร์ทเติบโตอย่างยั่งยืน" อันเป็นคำตอบของฟากญี่ปุ่นที่สอดคล้องกับคำพูดของ "ทศ" เป็นอย่างยิ่ง
     ที่ไม่เพียงจะทำให้คำตอบดูหนักแน่น หากยังเป็นคำตอบทางธุรกิจ ที่น่าจะทำให้แบรนด์แฟมิลี่มาร์ท ลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นครั้งนี้ น่าจะเป็นคู่ต่อกรกับเซเว่นอีเลฟเว่นอย่างสมน้ำสมเนื้อจากที่แทบไม่มีโอกาสชกเลย
     แต่คราวนี้เราๆ ท่านๆ คงได้เห็นฟุตเวิร์กสวยๆ ของแฟมิลี่มาร์ทบ้าง ว่าจะปล่อยหมัดแย็บอย่างไร เซเว่นอีเลฟเว่นถึงเพลี้ยงพล้ำ
     น่าจับตามองครับ?

ที่มา : เส้นทางเศรษฐี
สาโรจน์ มณีรัตน์
คิดอย่างนักบริหาร
วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สยามพารากอน The Pride of Bangkok


  ทุกเมืองท่องเที่ยวชั้นนำของโลก จะต้องมีแหล่งสังสรรค์ บันเทิง หรือช็อปปิ้งขนาดยักษ์ไว้ประดับเมืองทั้งนั้น เพื่อเป็นแม่เหล็ก (magnet) ดึงดูดนักท่องเที่ยว อาทิ ฮ่องกง (Pacific-Place) สิงคโปร์ (Takashiyama) นิวยอร์ก (5th Avenue) ปารีส (ชอง เอลิเซ่) ลอนดอน (Harrod) เป็นต้น
     กล่าวสำหรับนโยบาย "กรุงเทพเมืองแฟชั่น" และการผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวแห่งอาเซียน (Tourists Hub) ฯลฯ จะสมบูรณ์ได้ก็จำต้องมี Shopping Complex ขนาดยักษ์/หรูหรา/อลังการ ไว้สนับสนุนด้วย The Pride of Bangkok (สยามพารากอน) "ที่สุดแห่งความภาคภูมิของกรุงเทพมหานครî" จึงได้เปิดตัวขึ้นในเดือนธันวาคม 2548 บนทำเลทอง (สยามสแควร์) ของเมืองไทย!
1. ความอลังการ (อภิมหาโปรเจ็กต์) บนพื้นที่ 52 ไร่ พื้นที่ใช้สอย 500,000 ตารางเมตร ใช้เม็ดเงินลงทุน 15,000 ล้านบาท โดยมีจุดหมายให้เป็น  "World Class Shopping Destination" ใหญ่ที่สุดในเอเชีย! โดยประกอบด้วย 10 สุดยอดไฮไลต์ อาทิ
     1.1 โลกแห่งความหรูหรา  (Facet of Luxury) โดยเป็นศูนย์กลางอัญมณี และนาฬิกาชั้นนำของโลก เช่น Vanceleet & Arpels, Cartier, Bulgari, Mikimoto เป็นต้น
     จากสถิติพบว่า Switzerland ส่งนาฬิกามาขายในไทยถึงปีละ 200 ล้านฟรังก์สวิส (6,000 ล้านบาท) ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศผู้คลั่งไคล้นาฬิกาสวิสติดอันดับที่ 13 ของโลก เช่น Patek Philippe, Vacheron, Frank Muller เป็นต้น ราคาเรือนละหลายๆ แสนถึงหลายล้านๆ บาท! ในอนาคตหากมีการลดหรืองดอากรขาเข้า 40% ตามกฎ FTA ผนวกกับการคืน VAT 7% แก่นักท่องเที่ยว ย่อมทำให้นาฬิกาเหล่านี้มีราคาถูกลง ซึ่งจะช่วยเสริมให้กรุงเทพฯ เป็นอีกทางเลือกช็อปปิ้งของนักท่องเที่ยวทั่วโลก!
     1.2 โลกแห่งแฟชั่น (Facet of Fashion) โดยเป็นศูนย์รวมของแฟชั่นแบรนด์เนมระดับโลกทั้งไทยและต่างประเทศ เช่น GiorgioArmani, Dolce Cabbana, Bottega Veneta, Jimmy Choo, Prada, Hermes, Paul Smith เป็นต้น
     1.3 โลกแห่งการเรียนรู้และพัฒนาการ (Facet of  Edutainment & Exploration) คือ โรงเรียนสอนภาษา คอมพิวเตอร์ ดนตรี ศิลปะ และการแสดง โรงเรียนเพื่อพัฒนาการเด็กเล็ก เช่น วิทยาลัยดุริยางคศิลป์, Bangkok Dance, Little Gym และ Net Design เป็นต้น รวมถึง Aquarium ที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกและทันสมัยที่สุดในเอเชีย ด้วยงบลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท
     ธุรกิจการศึกษา ถือเป็นสิ่งมีประโยชน์ยิ่งยวดต่อเยาวชน ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ ดังนั้น รัฐบาลเกือบทุกประเทศจะให้การสนับสนุนส่งเสริมเต็มที่ เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้ และไม่เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (หรือ good and service tax) หรืออาจเก็บ VAT ในอัตราต่ำกว่าสินค้าทั่วไป แต่ในกรณีของประเทศไทย ยกเว้น ภาษีให้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นภาษีเงินได้ (บุคคลธรรมดา/นิติบุคคล) และภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ เฉพาะกรณีได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากนั้นภาครัฐก็ยังส่งเสริมการศึกษาอย่างต่อเนื่องด้วยการยกเว้น VAT สำหรับการขายนิตยสาร สิ่งพิมพ์ ตำราเรียนอีกทอดหนึ่งด้วย (มาตรา 81(1) (ฉ)) ดังนั้น จึงสบายใจได้ว่าผู้ทำธุรกิจด้านนี้จะปลอดภัยไร้กังวลด้านภาษีทั้งปวง! (พ.ร.ฎ.# 284 (พ.ศ. 2538), กฎกระทรวง#126, ม.81 (1)(ช))
     1.4 โลกแห่งความบันเทิง (Global Entertainment Phenomenon) ซึ่งประกอบด้วย โรงภาพยนตร์ Cineplex ที่ทันสมัย 16 โรง (รับผู้ชมได้ถึง 5,000 คน) โรงภาพยนตร์ Imax 3 มิติ ขนาด 600 ที่นั่ง สถานออกกำลังกาย (California Wow) โรงละคร Siam Opera (ความจุ 6,000 ที่นั่ง) ซึ่งถือเป็นแหล่งดูหนัง ฟังเพลงขนาดใหญ่และทันสมัยที่สุดของไทย ที่ไม่มีชาติไหนเลียนแบบได้ จนมีคำกล่าวกันในหมู่นักธุรกิจว่า "ไม่มีแหล่ง entertain ใดๆ ในโลกจะดีและถูกเท่าประเทศไทยอีกแล้ว!"
   1.5 Paragon Department Store - The Shopping Phenomenon ด้วยขนาดพื้นที่ถึง 80,000 ตารางเมตร และสินค้านับแสนรายการที่ถูกคัดสรรมาสนองตอบอย่างจุใจ
2. การร่วมพันธมิตรธุรกิจ โครงการ "สยามพารากอน" เป็นการร่วมทุน (joint venture) ระหว่างค่าย The Mall Group-The Emporium และบริษัทสยามพิวรรธน์ (ศูนย์การค้าสยามและโรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนทัล) ซึ่งทั้ง 2 กลุ่ม เคยเป็นคู่แข่งขันทางธุรกิจ แต่หันมาจับมือผนึกกำลังเป็นพันธมิตรกัน (win-win solution)
     การร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสร้างอภิมหาโปรเจ็กต์ ìศูนย์การค้าสยามพารากอนî มูลค่าโครงการ 15,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นความร่วมมือของ 2 บริษัท ยักษ์ใหญ่ในวงการ คือ กลุ่ม เดอะมอลล์ และบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ฝ่ายละ 50 : 50 เพื่อบริหารโครงการโดยจัดตั้งเป็น 2 บริษัท คือ บริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และบริษัท สยามพารากอน รีเทล จำกัด
     บริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์  จำกัด  เป็นผู้บริหารอาคาร และดูแลร้านค้าเช่าภายนอกซึ่งมิได้อยู่ในห้างสรรพสินค้า โดยรายได้หลักก็คือ ค่าเช่าพื้นที่ระยะยาว (แป๊ะเจี๊ยะ) ซึ่งกรมสรรพากรยอมให้รับรู้รายได้ (taxable revenue) โดยการเฉลี่ยตามอายุการเช่า (ป.73/2541 ข้อ 2 (1)(ก))
     บริษัท สยามพารากอน รีเทล จำกัด โดยเดอะมอลล์กรุ๊ป เป็นผู้บริหารห้างสรรพสินค้า โดยมีรายได้จากค่าเช่าพื้นที่ ภายในห้างสรรพสินค้า ส่วนแบ่งรายได้จากการฝากขายสินค้า (consignment) และสินค้าที่บริษัทเป็นผู้จัดจำหน่ายเอง (รวมถึง house brand product) กล่าวสำหรับกรณีการรับฝากขายสินค้านั้น จะมีประเด็นความแตกต่างระหว่างหลักการบัญชี และภาษีอากร อย่างเป็นสาระสำคัญดังตาราง


อนึ่งในการถือหุ้น ไขว้กันระหว่างบริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ปฯ กับ บริษัท สยามพิวรรธน์ฯ นั้น เป็นการแบ่งบทบาทการทำงานอย่างชัดเจนโดย กลุ่มเดอะมอลล์ จะเป็นกำลังหลักในการบริหาร บริษัท สยามพารากอน รีเทล จำกัด โดยทีมผู้บริหารจาก The Mall และ Emporium ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการบริหารห้างสรรพสินค้า และซุปเปอร์มาร์เก็ต ส่วนกลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ฯ ซึ่งมีความชำนาญในการบริหารศูนย์การค้า เช่น สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ฯ เป็นผู้บริหารหลักของ บริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด
     ด้วยโครงสร้างการถือหุ้นของทั้ง 2 บริษัทดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วยบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล (ผู้ถือหุ้นใหญ่) ดังกล่าวจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีดังนี้
     ภาษีเงินได้นิติบุคคล ในปี 2555-2556 รัฐบาลไทยได้ปรับลดอัตราภาษีลงเหลือ 23% และ 20% ตามลำดับ (พ.ร.ฎ.#530 (พ.ศ. 2554)) เพื่อรองรับการแข่งขันจากการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน ในปี พ.ศ. 2558 ทำให้บริษัททั้งสอง สามารถประหยัดภาษีจากเดิมซึ่งจัดเก็บในอัตรา 30%
      ภาษีเงินปันผล สำหรับผู้ถือหุ้นนั้น กรณีที่เป็นผู้ถือหุ้นที่เป็นนิติบุคคล ซึ่งถือหุ้นในบริษัททั้ง 2 ราย เกินกว่า 25% ย่อมได้รับการยกเว้นภาษีเงินปันผล (ม.65 ทวิ (10)) ส่วนผู้ถือหุ้นที่เป็นบุคคลธรรมดา ย่อมได้สิทธิเครดิตภาษีเงินปันผล ตามนัยมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
     ภาษีเงินได้จาก capital gains (กำไรจากการขายหุ้น) ไม่ได้สิทธิประโยชน์ใดๆ ทางภาษี เว้นแต่นำบริษัททั้ง 2 รายเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จึงจะได้รับยกเว้นภาษีสำหรับ capital gains สำหรับผู้มีเงินได้ที่เป็นบุคคลธรรมดา (กฎกระทรวง #126 ข้อ 2 (23))
3. Royal Paragon Hall ซึ่งมีพื้นที่จัดประชุมขนาด 15,000 ตารางเมตร ออกแบบให้เป็น state of the art ด้วยความสมบูรณ์แบบและโดดเด่น พร้อมระบบแสง สี เสียง และอุปกรณ์ไฮเทคที่ทันสมัยมาก จึงเหมาะกับการจัดงานมหกรรมขนาดใหญ่ระดับโลก
     นอกจากนั้น ศูนย์การค้าแห่งนี้ยังมี โรงแรม 5 ดาว (พื้นที่ 20 ไร่ ที่ด้านหลังห้าง) ภายใต้การบริหารของเครือโรงแรม Royal Kempinski โดยแวดล้อมด้วยสวนและหลากพันธุ์ไม้ต่างๆ ก็เป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กขนาดใหญ่ ที่จะสร้างมนต์ขลังให้แก่สยามพารากอน โดยต่างเสริมส่งซึ่งกันและกัน
     ในแง่ของศูนย์การค้าขนาดใหญ่เช่นนี้ ต้องยอมรับว่าพื้นที่บางส่วนอาจได้กำไรน้อย/หรือขาดทุน แต่ก็จำต้องมีไว้เพื่อเป็นแม่เหล็ก (magnet) ดึงดูดลูกค้า/สร้างความคึกคัก เพื่อสามารถขายพื้นที่แก่ร้านค้าย่อยได้ง่าย ซึ่งถือเป็นรายได้หลักที่เป็นเงินก้อนใหญ่
     กล่าวในภาพรวมต้องยอมรับว่า วันนี้ของ "สยามพารากอน" ประสบความสำเร็จเกือบทุกภาคส่วน!


ที่มา : เส้นทางเศรษฐี
อมรศักดิ์ พงศ์พศุตม์
หมอภาษี
วันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556