Social Media

ยาฮู  เฟซบุ๊ค wordpress RSS มายสเปซ ยูทูป Tumblr กูเกิล+ Flickr Reddit Twitter Retail Academy

หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ฟุตเวิร์กแฟมิลี่มาร์ท



 "ทศ จิราธิวัฒน์"
 
     ปรากฏการณ์การเข้าซื้อหุ้นของสยามแฟมิลี่มาร์ทของกลุ่มเซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น (ซีอาร์ซี) นับว่าเป็นปรากฏการณ์ทางธุรกิจที่น่าสนใจอย่างมาก
     เพราะอย่างที่ทราบ แฟมิลี่มาร์ท เป็นธุรกิจค้าปลีกสัญชาติญี่ปุ่น ที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2535 มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ ประมาณ 746 สาขา
     คู่แข่งโดยตรงของแฟมิลี่มาร์ทคือ เซเว่นอีเลฟเว่น ของเครือซีพีกรุ๊ป ที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศประมาณ 6,000-7,000 สาขา
     นอกจากนั้น ในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกด้วยกัน ยังมีเทสโก้ โลตัส และเทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส และ 108 ช็อป ที่มาแย่งมาร์เก็ตแชร์โดยรวมของกลุ่มธุรกิจค้าปลีก
     แต่ถ้าจะมองในฐานะไฟติ้งแบรนด์ คงหนีไม่พ้นที่จะเปรียบมวยให้แฟมิลี่มาร์ท กับ เซเว่นอีเลฟเว่น เป็นคู่ชกกัน เพียงแต่น้ำหนักหมัด ประสบการณ์ในการชก คงต้องยอมรับว่า เซเว่นอีเลฟเว่น มีประสบการณ์พร้อมสรรพอยู่มาก
     คำถามจึงเกิดขึ้นว่า แล้วทำไมซีอาร์ซีถึงตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นของแฟมิลี่มาร์ท?
     มองเห็นโอกาสทางธุรกิจอะไรหรือ?
     "ทศ จิราธิวัฒน์" ผู้บริหารของซีอาร์ซี เคยพูดว่า ตอนนี้สยามแฟมิลี่มาร์ทมีเครือข่ายสาขาถึง 746 สาขาทั่วประเทศ มียอดขายรวมกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจค้าปลีกด้านอาหารของเซ็นทรัลรีเทลเติบโตขึ้นทันทีเกือบ 50%
     "ทั้งนี้ตั้งเป้าจะขยายให้ได้ถึง 1,500 สาขาภายใน 5 ปี และ 3,000 สาขาในอีก 10 ปี ประมาณการในอีก 2 ปีข้างหน้า ต้องใช้เงินลงทุน 2,000 ล้านบาท สำหรับเปิดสาขาใหม่ หรือปรับปรุงสาขาที่มีอยู่เดิม รวมถึงการขยายโครงสร้างพื้นฐานไอที และระบบโลจิสติกส์"
     "ดังนั้น การที่เราเข้าซื้อหุ้นของบริษัท สยามแฟมิลี่มาร์ท จำกัด จำนวน 50.29% จะส่งผลให้ซีอาร์ซีเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทสยามแฟมิลี่มาร์ท และกลยุทธ์ของสยามแฟมิลี่มาร์ทต่อไป จะเน้นสร้างแบรนด์แฟมิลี่มาร์ทให้แข็งแกร่งเพื่อเป็นอีกทางเลือกของผู้บริโภค และซัพพลายเออร์"
     "ทั้งยังเพิ่มผลิตภัณฑ์สินค้า และนำเสนอบริการรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างความหลากหลายให้กับลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหารพร้อมทาน หรือ Ready-to-Eat ที่จะเป็นสินค้าหลักช่วยดึงลูกค้าเข้ามาในร้าน นอกจากนั้น เรายังมุ่งมั่นที่จะยกระดับมาตรฐานของผลิตภัณฑ์"
     "โดยอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะ และนวัตกรรม จากแฟมิลี่มาร์ทของประเทศญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาให้สินค้า Ready-to-Eat ของแฟมิลี่มาร์ทโดดเด่น มีคุณภาพ มีรสชาติถูกปากคนไทย"
     "ขณะเดียวกัน เราจะปรับปรุงโฉมร้านแฟมิลี่มาร์ทใหม่ และทำให้ร้านเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากที่สุด การเปิดสาขาเป็นการลงทุนของบริษัทเป็นหลัก ใช้งบลงทุนเปิดสาขาใหม่แห่งละ 3 ล้านบาท สำหรับพื้นที่ประมาณ 100-150 ตารางเมตร ทั้งยังจะต้องผลักดันให้รายได้ของแฟมิลี่มาร์ทเติบโตปีละ 20-30% และคิดว่าภายในสิ้นปี 55 จะมีรายได้รวมประมาณ 12,000 ล้านบาท"
     นอกจากนั้น "ทศ" ยังกล่าวถึงธุรกิจในเครืออย่างร้านท็อปส์เดลี่ ที่ปัจจุบันมีอยู่ 119 สาขา จะปรับให้เป็นร้านแฟมิลี่มาร์ททั้งหมด และในอนาคตอาจนำแบรนด์ท็อปส์เดลี่ไปใช้ในธุรกิจค้าปลีกประเภทอื่นต่อไปซึ่งเป็นการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
     แต่กระนั้น ในมุมธุรกิจ หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าแฟมิลี่มาร์ท จะใช้กลยุทธ์อะไรไปแชร์ส่วนแบ่งทางการตลาดของเซเว่นอีเลฟเว่น เพราะกลยุทธ์หลักของซีพีกรุ๊ปคือครัวของโลกเขาผลิตอาหารเองระบบโลจิสติกส์ก็ดีสาขาก็มีจำนวนมากกว่าหลายเท่าตัวนัก
     ดังนั้น การที่แฟมิลี่มาร์ทจะขยายสาขาในอีก 5-10 ปีให้ได้ถึง 3,000 สาขา จึงอาจเป็นการแหย่หนวดเสือเซเว่นอีเลฟเว่นก็ได้ เพราะถึงตอนนั้น เซเว่นอีเลฟเว่นอาจขยายสาขาไปหลายหมื่นสาขาแล้วก็ได้
     ทั้งแผนธุรกิจของเซเว่นอีเลฟเว่น ยังวาดแผนที่จะบุกไปในตลาดเออีซีด้วย จึงทำให้หลายคนมองว่าเกมธุรกิจครั้งนี้ ซีอาร์ซีจะถือแฟมิลี่มาร์ทระยะยาวหรือไม่
     แต่กระนั้น เมื่อลองหันไปฟังเสียงของ "อุเอะดะ จุนจิ" ประธานกรรมการบริษัท แฟมิลี่มาร์ท จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) เขากลับมองว่า 20 ปีที่ผ่านมา แฟมิลี่มาร์ทประสบกับความยากลำบากในการทำธุรกิจไม่น้อย เราเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจหลายรอบ ช่วง 5 ปีก่อนบริษัทแม่ได้ส่งซีอีโอ และคณะผู้บริหารมากระตุ้นธุรกิจในไทย จนทำให้ผลประกอบการมีกำไรแล้ว
     "ต่อไปเป็นขั้นที่ 2 เราต้องการขยายธุรกิจแบบก้าวกระโดด จำเป็นต้องมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างซีอาร์ซี ที่มีความสามารถในการขยายสาขา การพัฒนาสินค้า และระบบซัพพลายเชนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการเติบโตของแฟมิลี่มาร์ทอย่างรวดเร็ว และมั่นคงในระยะยาว"
     "ดังนั้น หากพิจารณาสถานการณ์ค้าปลีกในไทย และภูมิภาคเอเชียพบว่าจำนวนประชากรที่ใช้บริการร้านสะดวกซื้อ 1 แห่ง ในญี่ปุ่นมีอัตราเฉลี่ย 2,800 คน/ร้าน ไต้หวัน, เกาหลี เฉลี่ย 2,500 คน/ร้าน ขณะที่ประเทศไทยสูงถึง 6,800 คน/ร้าน ข้อมูลตรงนี้สะท้อนถึงโอกาสทางการตลาดที่ร้านสะดวกซื้อจะเติบโตอีกมาก"
     "อีกอย่างบริษัทตั้งเป้าหมายขยายสาขาแฟมิลี่มาร์ทครบ 25,000 สาขาทั่วโลกภายในปี 2558 และเพิ่มเป็น 40,000 สาขาภายในปี 2563 ดังนั้น เมื่อเราจับมือกับซีอาร์ซีจึงเชื่อว่าแฟมิลี่มาร์ทจะบรรลุเป้าหมาย 25,000 สาขาเร็วกว่าที่กำหนด ส่วนการขยับขึ้นเป็น 40,000 สาขา ส่วนหนึ่งมาจากการขยายการลงทุนในประเทศจีน"
     "รวมถึงการไปเปิดสาขาแรกที่ประเทศอินโดนีเซีย รวมถึงฟิลิปปินส์, พม่า และอินเดีย เป็นลำดับต่อไป ผมจึงค่อนข้างเชื่อว่า นอกจากซีอาร์ซีจะมีจุดแข็งหลายประการ ธุรกิจยังค่อนข้างหลากหลาย จึงน่าจะเป็นคำตอบที่ทำให้แฟมิลี่มาร์ทเติบโตอย่างยั่งยืน" อันเป็นคำตอบของฟากญี่ปุ่นที่สอดคล้องกับคำพูดของ "ทศ" เป็นอย่างยิ่ง
     ที่ไม่เพียงจะทำให้คำตอบดูหนักแน่น หากยังเป็นคำตอบทางธุรกิจ ที่น่าจะทำให้แบรนด์แฟมิลี่มาร์ท ลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นครั้งนี้ น่าจะเป็นคู่ต่อกรกับเซเว่นอีเลฟเว่นอย่างสมน้ำสมเนื้อจากที่แทบไม่มีโอกาสชกเลย
     แต่คราวนี้เราๆ ท่านๆ คงได้เห็นฟุตเวิร์กสวยๆ ของแฟมิลี่มาร์ทบ้าง ว่าจะปล่อยหมัดแย็บอย่างไร เซเว่นอีเลฟเว่นถึงเพลี้ยงพล้ำ
     น่าจับตามองครับ?

ที่มา : เส้นทางเศรษฐี
สาโรจน์ มณีรัตน์
คิดอย่างนักบริหาร
วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น