Social Media

ยาฮู  เฟซบุ๊ค wordpress RSS มายสเปซ ยูทูป Tumblr กูเกิล+ Flickr Reddit Twitter Retail Academy

หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สยามพารากอน The Pride of Bangkok


  ทุกเมืองท่องเที่ยวชั้นนำของโลก จะต้องมีแหล่งสังสรรค์ บันเทิง หรือช็อปปิ้งขนาดยักษ์ไว้ประดับเมืองทั้งนั้น เพื่อเป็นแม่เหล็ก (magnet) ดึงดูดนักท่องเที่ยว อาทิ ฮ่องกง (Pacific-Place) สิงคโปร์ (Takashiyama) นิวยอร์ก (5th Avenue) ปารีส (ชอง เอลิเซ่) ลอนดอน (Harrod) เป็นต้น
     กล่าวสำหรับนโยบาย "กรุงเทพเมืองแฟชั่น" และการผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวแห่งอาเซียน (Tourists Hub) ฯลฯ จะสมบูรณ์ได้ก็จำต้องมี Shopping Complex ขนาดยักษ์/หรูหรา/อลังการ ไว้สนับสนุนด้วย The Pride of Bangkok (สยามพารากอน) "ที่สุดแห่งความภาคภูมิของกรุงเทพมหานครî" จึงได้เปิดตัวขึ้นในเดือนธันวาคม 2548 บนทำเลทอง (สยามสแควร์) ของเมืองไทย!
1. ความอลังการ (อภิมหาโปรเจ็กต์) บนพื้นที่ 52 ไร่ พื้นที่ใช้สอย 500,000 ตารางเมตร ใช้เม็ดเงินลงทุน 15,000 ล้านบาท โดยมีจุดหมายให้เป็น  "World Class Shopping Destination" ใหญ่ที่สุดในเอเชีย! โดยประกอบด้วย 10 สุดยอดไฮไลต์ อาทิ
     1.1 โลกแห่งความหรูหรา  (Facet of Luxury) โดยเป็นศูนย์กลางอัญมณี และนาฬิกาชั้นนำของโลก เช่น Vanceleet & Arpels, Cartier, Bulgari, Mikimoto เป็นต้น
     จากสถิติพบว่า Switzerland ส่งนาฬิกามาขายในไทยถึงปีละ 200 ล้านฟรังก์สวิส (6,000 ล้านบาท) ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศผู้คลั่งไคล้นาฬิกาสวิสติดอันดับที่ 13 ของโลก เช่น Patek Philippe, Vacheron, Frank Muller เป็นต้น ราคาเรือนละหลายๆ แสนถึงหลายล้านๆ บาท! ในอนาคตหากมีการลดหรืองดอากรขาเข้า 40% ตามกฎ FTA ผนวกกับการคืน VAT 7% แก่นักท่องเที่ยว ย่อมทำให้นาฬิกาเหล่านี้มีราคาถูกลง ซึ่งจะช่วยเสริมให้กรุงเทพฯ เป็นอีกทางเลือกช็อปปิ้งของนักท่องเที่ยวทั่วโลก!
     1.2 โลกแห่งแฟชั่น (Facet of Fashion) โดยเป็นศูนย์รวมของแฟชั่นแบรนด์เนมระดับโลกทั้งไทยและต่างประเทศ เช่น GiorgioArmani, Dolce Cabbana, Bottega Veneta, Jimmy Choo, Prada, Hermes, Paul Smith เป็นต้น
     1.3 โลกแห่งการเรียนรู้และพัฒนาการ (Facet of  Edutainment & Exploration) คือ โรงเรียนสอนภาษา คอมพิวเตอร์ ดนตรี ศิลปะ และการแสดง โรงเรียนเพื่อพัฒนาการเด็กเล็ก เช่น วิทยาลัยดุริยางคศิลป์, Bangkok Dance, Little Gym และ Net Design เป็นต้น รวมถึง Aquarium ที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกและทันสมัยที่สุดในเอเชีย ด้วยงบลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท
     ธุรกิจการศึกษา ถือเป็นสิ่งมีประโยชน์ยิ่งยวดต่อเยาวชน ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ ดังนั้น รัฐบาลเกือบทุกประเทศจะให้การสนับสนุนส่งเสริมเต็มที่ เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้ และไม่เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (หรือ good and service tax) หรืออาจเก็บ VAT ในอัตราต่ำกว่าสินค้าทั่วไป แต่ในกรณีของประเทศไทย ยกเว้น ภาษีให้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นภาษีเงินได้ (บุคคลธรรมดา/นิติบุคคล) และภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ เฉพาะกรณีได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากนั้นภาครัฐก็ยังส่งเสริมการศึกษาอย่างต่อเนื่องด้วยการยกเว้น VAT สำหรับการขายนิตยสาร สิ่งพิมพ์ ตำราเรียนอีกทอดหนึ่งด้วย (มาตรา 81(1) (ฉ)) ดังนั้น จึงสบายใจได้ว่าผู้ทำธุรกิจด้านนี้จะปลอดภัยไร้กังวลด้านภาษีทั้งปวง! (พ.ร.ฎ.# 284 (พ.ศ. 2538), กฎกระทรวง#126, ม.81 (1)(ช))
     1.4 โลกแห่งความบันเทิง (Global Entertainment Phenomenon) ซึ่งประกอบด้วย โรงภาพยนตร์ Cineplex ที่ทันสมัย 16 โรง (รับผู้ชมได้ถึง 5,000 คน) โรงภาพยนตร์ Imax 3 มิติ ขนาด 600 ที่นั่ง สถานออกกำลังกาย (California Wow) โรงละคร Siam Opera (ความจุ 6,000 ที่นั่ง) ซึ่งถือเป็นแหล่งดูหนัง ฟังเพลงขนาดใหญ่และทันสมัยที่สุดของไทย ที่ไม่มีชาติไหนเลียนแบบได้ จนมีคำกล่าวกันในหมู่นักธุรกิจว่า "ไม่มีแหล่ง entertain ใดๆ ในโลกจะดีและถูกเท่าประเทศไทยอีกแล้ว!"
   1.5 Paragon Department Store - The Shopping Phenomenon ด้วยขนาดพื้นที่ถึง 80,000 ตารางเมตร และสินค้านับแสนรายการที่ถูกคัดสรรมาสนองตอบอย่างจุใจ
2. การร่วมพันธมิตรธุรกิจ โครงการ "สยามพารากอน" เป็นการร่วมทุน (joint venture) ระหว่างค่าย The Mall Group-The Emporium และบริษัทสยามพิวรรธน์ (ศูนย์การค้าสยามและโรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนทัล) ซึ่งทั้ง 2 กลุ่ม เคยเป็นคู่แข่งขันทางธุรกิจ แต่หันมาจับมือผนึกกำลังเป็นพันธมิตรกัน (win-win solution)
     การร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสร้างอภิมหาโปรเจ็กต์ ìศูนย์การค้าสยามพารากอนî มูลค่าโครงการ 15,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นความร่วมมือของ 2 บริษัท ยักษ์ใหญ่ในวงการ คือ กลุ่ม เดอะมอลล์ และบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ฝ่ายละ 50 : 50 เพื่อบริหารโครงการโดยจัดตั้งเป็น 2 บริษัท คือ บริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และบริษัท สยามพารากอน รีเทล จำกัด
     บริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์  จำกัด  เป็นผู้บริหารอาคาร และดูแลร้านค้าเช่าภายนอกซึ่งมิได้อยู่ในห้างสรรพสินค้า โดยรายได้หลักก็คือ ค่าเช่าพื้นที่ระยะยาว (แป๊ะเจี๊ยะ) ซึ่งกรมสรรพากรยอมให้รับรู้รายได้ (taxable revenue) โดยการเฉลี่ยตามอายุการเช่า (ป.73/2541 ข้อ 2 (1)(ก))
     บริษัท สยามพารากอน รีเทล จำกัด โดยเดอะมอลล์กรุ๊ป เป็นผู้บริหารห้างสรรพสินค้า โดยมีรายได้จากค่าเช่าพื้นที่ ภายในห้างสรรพสินค้า ส่วนแบ่งรายได้จากการฝากขายสินค้า (consignment) และสินค้าที่บริษัทเป็นผู้จัดจำหน่ายเอง (รวมถึง house brand product) กล่าวสำหรับกรณีการรับฝากขายสินค้านั้น จะมีประเด็นความแตกต่างระหว่างหลักการบัญชี และภาษีอากร อย่างเป็นสาระสำคัญดังตาราง


อนึ่งในการถือหุ้น ไขว้กันระหว่างบริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ปฯ กับ บริษัท สยามพิวรรธน์ฯ นั้น เป็นการแบ่งบทบาทการทำงานอย่างชัดเจนโดย กลุ่มเดอะมอลล์ จะเป็นกำลังหลักในการบริหาร บริษัท สยามพารากอน รีเทล จำกัด โดยทีมผู้บริหารจาก The Mall และ Emporium ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการบริหารห้างสรรพสินค้า และซุปเปอร์มาร์เก็ต ส่วนกลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ฯ ซึ่งมีความชำนาญในการบริหารศูนย์การค้า เช่น สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ฯ เป็นผู้บริหารหลักของ บริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด
     ด้วยโครงสร้างการถือหุ้นของทั้ง 2 บริษัทดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วยบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล (ผู้ถือหุ้นใหญ่) ดังกล่าวจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีดังนี้
     ภาษีเงินได้นิติบุคคล ในปี 2555-2556 รัฐบาลไทยได้ปรับลดอัตราภาษีลงเหลือ 23% และ 20% ตามลำดับ (พ.ร.ฎ.#530 (พ.ศ. 2554)) เพื่อรองรับการแข่งขันจากการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน ในปี พ.ศ. 2558 ทำให้บริษัททั้งสอง สามารถประหยัดภาษีจากเดิมซึ่งจัดเก็บในอัตรา 30%
      ภาษีเงินปันผล สำหรับผู้ถือหุ้นนั้น กรณีที่เป็นผู้ถือหุ้นที่เป็นนิติบุคคล ซึ่งถือหุ้นในบริษัททั้ง 2 ราย เกินกว่า 25% ย่อมได้รับการยกเว้นภาษีเงินปันผล (ม.65 ทวิ (10)) ส่วนผู้ถือหุ้นที่เป็นบุคคลธรรมดา ย่อมได้สิทธิเครดิตภาษีเงินปันผล ตามนัยมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
     ภาษีเงินได้จาก capital gains (กำไรจากการขายหุ้น) ไม่ได้สิทธิประโยชน์ใดๆ ทางภาษี เว้นแต่นำบริษัททั้ง 2 รายเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จึงจะได้รับยกเว้นภาษีสำหรับ capital gains สำหรับผู้มีเงินได้ที่เป็นบุคคลธรรมดา (กฎกระทรวง #126 ข้อ 2 (23))
3. Royal Paragon Hall ซึ่งมีพื้นที่จัดประชุมขนาด 15,000 ตารางเมตร ออกแบบให้เป็น state of the art ด้วยความสมบูรณ์แบบและโดดเด่น พร้อมระบบแสง สี เสียง และอุปกรณ์ไฮเทคที่ทันสมัยมาก จึงเหมาะกับการจัดงานมหกรรมขนาดใหญ่ระดับโลก
     นอกจากนั้น ศูนย์การค้าแห่งนี้ยังมี โรงแรม 5 ดาว (พื้นที่ 20 ไร่ ที่ด้านหลังห้าง) ภายใต้การบริหารของเครือโรงแรม Royal Kempinski โดยแวดล้อมด้วยสวนและหลากพันธุ์ไม้ต่างๆ ก็เป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กขนาดใหญ่ ที่จะสร้างมนต์ขลังให้แก่สยามพารากอน โดยต่างเสริมส่งซึ่งกันและกัน
     ในแง่ของศูนย์การค้าขนาดใหญ่เช่นนี้ ต้องยอมรับว่าพื้นที่บางส่วนอาจได้กำไรน้อย/หรือขาดทุน แต่ก็จำต้องมีไว้เพื่อเป็นแม่เหล็ก (magnet) ดึงดูดลูกค้า/สร้างความคึกคัก เพื่อสามารถขายพื้นที่แก่ร้านค้าย่อยได้ง่าย ซึ่งถือเป็นรายได้หลักที่เป็นเงินก้อนใหญ่
     กล่าวในภาพรวมต้องยอมรับว่า วันนี้ของ "สยามพารากอน" ประสบความสำเร็จเกือบทุกภาคส่วน!


ที่มา : เส้นทางเศรษฐี
อมรศักดิ์ พงศ์พศุตม์
หมอภาษี
วันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น